สิวหัวช้าง (Nodulocystic acne หรือ Severe Nodular acne)  ดูจากชื่อแล้วอาจรู้สึกว่าเป็นสิวที่น่ากลัว โดยลักษณะของสิวหัวช้างเป็นสิวที่มีขนาดนูนใหญ่ เห็นได้ชัด เมื่อสัมผัสอาจรู้สึกได้ว่าเป็นสิวที่มีขนาดใหญ่ อาจรู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัส อาจเป็นสิวที่มีหัวหรือไม่มีหัวก็ได้

สิวหัวช้าง เป็นสิวอักเสบชนิดหนึ่งที่อยู่ในการอักเสบระดับรุนแรง มีลักษณะก้อนตุ่มนูนแดง แข็ง ขนาดใหญ่ ภายในของสิวหัวช้างเป็นหนองปนกับเลือด  แม้สิวประเภทนี้จะมีลักษณะแข็งคล้ายกับสิวเป็นไต แต่ไม่ใช่สิวแบบเดียวกัน เพราะสิวเป็นไตเป็นสิวอุดตัน เม็ดแข็งนูน เป็นสิวจำพวกสิวไม่มีหัว มักไม่มีการอักเสบรุนแรงเหมือนกับสิวหัวช้าง

สิวหัวช้างนอกจะมีตุ่มสิวอักเสบขนาดใหญ่แล้ว เนื่อจากมีอาการอักเสบที่รุนแรงมาก ทำให้หากสัมผัสโดนสิวมักมีอาการเจ็บร่วมด้วย  อาจจะต้องรักษาด้วยการรับประทานยาแก้อักเสบในการช่วยบรรเทาอาการเจ็บ  และสิวหัวช้างรักษาได้ยาก หากบีบสิวหัวช้างมักจะทิ้งรอยสิวหรือรอยแผลเป็น การรู้จักสิวหัวช้างเพื่อวิธีรักษาสิวที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และไม่ทิ้งรอยสิวรอยดำด้วย

 

สารบัญบทความ "สิวหัวช้าง"

สิวหัวช้าง เกิดจากอะไร

สิวหัวช้างเกิดได้จากหลายสาเหตุ

1. เชื้อแบคทีเรีย C.acne (เชื้อแบคทีเรียชนิดเดียว กับที่ก่อให้เกิดสิว ชนิด acne vulgaris)

สิวหัวช้างสามารถเกิดได้จากเชื้อแบคทีเรียที่โตบนผิวหนัง เรียกว่าแบคทีเรีย C.ance ซึ่งร่างกายตอบสนองกับเชื้อดังกล่าวด้วยการเกิดการอักเสบ โดยช่วงแรกสิวประเภทดังกล่าวจะดูเหมือนเม็ดสิวทั่วไป แต่ในระยะยาวจะเริ่มเห็นการอักเสบที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนัง เริ่มจากการเกิดสารคล้ายหนอง ลักษณะสิวจะเหมือนฝี เมื่อหนองแตกอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นได้

 

2. ใช้มือลูบหรือสัมผัสหน้าบ่อยๆ

การสัมผัสผิวหน้าบ่อยๆ นอกจากจะทำให้อาการอักเสบใต้ผิวหนักกว่าเดิมแล้วอาจทำให้กลุ่มสิวในบริเวณใกล้เคียงเกิดการลุกลามไปในบริเวณกว้าง เช่น สิวหัวดำที่มักเกิดเป็นกลุ่มอยู่กับสิวหัวช้าง

 

3. ใช้เครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสำหรับผิวเป็นสิว

การใช้เครื่องสำอางที่ไม่เหมาะกับผิวเป็นสิว เช่น เครื่องสำอางที่มีซิลิโคนเป็นส่วนประกอบ ก่อให้เกิดการอุดตันได้ง่าย ผิวอาจเกิดการอุดตันและอักเสบมากกว่าเดิม รักษาให้หายได้ยาก

ถึงแม้ว่าช่วงเย็นจะล้างหน้าด้วยความระมัดระวังแล้วก็อาจก่อให้เกิดความระคายเคืองในช่วงระหว่างวันได้ หรือหากเลี่ยงเครื่องสำอางที่ไม่เหมาะกับผิวเป็นสิวไม่ได้ ก็ควรเลือกวิธีการทำความสะอาดผิวที่สามารถล้างรูขุมขนได้อย่างล้ำลึกแต่คงความอ่อนโยนไว้เช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นอาจจะสามารถเกิดสิวอื่น ๆ ร่วมกับสิวหัวช้างได้ เช่น สิวผด เป็นต้น

 

4. นอนดึก

การนอนดึก หรือการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ส่งผลให้ร่างกายไม่ได้รับการซ่อมแซมหรือการฟื้นฟูที่ควร และยังส่งผลต่อกระบวนการการทำงานในร่างกายด้วย การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอมักทำให้ผิวเครียด ผิวแห้ง เพิ่มโอกาสการเกิดสิวและรอยสิวอีกด้วย

 

5. ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป (Sebum production)

มักจะพบในช่วงวัยรุ่นที่ระดับฮอร์โมนยังไม่เสถียร จึงส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากหรือน้อยกว่าปกติ หากผลิตน้ำมันมากเกินไปจะทำให้ผิวหน้ามันและเกิดการอุดตันเป็น สิวเสี้ยน หรือสิวอุดตันได้ ซึ่งหากทิ้งไว้นานก็จะเกิดเป็นสิวหัวช้างได้ง่ายเช่นเดียวกัน

 

6. การอักเสบ และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน (Inflammation and immune response)

การอักเสบแบบนี้เกิดจาก การที่เซลล์เม็ดเลือดขาวทำงานตามหน้าที่ระบบภูมิคุ้มกันเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในชั้นผิว และเกิดเป็นการอักเสบจนนำมาสู่การเป็นสิวอักเสบในที่สุด และหากลุกลามไปเรื่อย ๆ อาจจะการเป็นสิวหัวช้างไม่มีหัว หรือสิวหัวช้างใหญ่มาก ๆ ได้

 

บริเวณที่มักเกิดสิวหัวช้าง

บริเวณที่มักจะพบสิวหัวช้าง คือ

  • สิวหัวช้างที่คาง เนื่องจากมักจะเป็นบริเวณที่สัมผัสกับมือที่สกปรกของเรามากที่สุด เพราะหลาย ๆ คนอาจจะชอบเท้าคาง หรือติดจับคางเป็นประจำ นอกจากนี้การใส่แมสก์ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ผิวบริเวณนั้นได้รับการเสียดสีจนเกิดเป็นสิวได้
  • สิวหัวช้างที่จมูก จมูกก็เป็นบริเวณยอดฮิตอีกบริเวณหนึ่งที่สิวมักจะปรากฏขึ้น เพราะบริเวณนี้เป็นหนึ่งในบริเวณของทีโซนที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันส่วนเกินมาก
  • สิวหัวช้างที่หลัง นอกจากใบหน้าแล้ว บริเวณลำตัวอย่างหลังก็สามารถเกิดสิวได้เช่นกัน เพราะหลังเป็นส่วนหนึ่งที่เหงื่อออกมาก และอับชื้นจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ และได้รับการเสียดสีเป็นประจำจากเนื้อผ้าทำให้เกิดสิวที่หลัง

การรักษาสิวหัวช้างควรรักษาตั้งแต่เนิ่นๆเพื่อป้องกันการอักเสบที่หนักกว่าเดิมและการเกิดรอยแผลเป็นที่ใหญ่กว่าเดิมได้

สิวหัวช้าง วิธีรักษา ไม่ให้ทิ้งรอยแผลเป็น

1. การใช้ยาทาเฉพาะที่ 

การรักษาสิวหัวช้างด้วยการใช้ยาเฉพาะที่ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนังเพราะยารักษาสิวสำหรับการใช้งานเฉพาะที่มักเป็นยาที่มีความรุนแรงต่อผิว อาจเป็นการทำร้ายผิวให้เกิดผิวแห้ง ผิวลอก และเกิดเป็นรอยสิวได้ในภายหลัง เช่น

  • ยา Isotretinoin เป็นกลุ่มเรตินอยด์ซึ่งมีส่วนช่วยในการกระตุ้นสิวและอาการอักเสบใต้ผิวหนังให้ดันตัวออกมา และยาตัวดังกล่าวใช้เวลารักษาที่ค่อนข้างนานแต่เป็นยาที่ใช้รักษาสิวหัวช้างโดยทั่วไป ระยะเวลาการรักษาอยู่ที่ 20-28 สัปดาห์หรือนานกว่านั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่ผลข้างเคียงคือผิวจะมีความไวต่อแสงมากกว่าปกติ ผู้ตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาประเภทนี้
  • วิธีรักษาสิวหัวช้างด้วยยาทากลุ่ม Salicylic Acid ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ฆ่าเชื้อโรค และช่วยละลายสิ่งอุดตันตามรูขุมขนจึงเป็นยารักษาสิวหัวช้างได้อีกตัวหนึ่ง
  • ยาแต้มสิวหัวช้างชนิดกลุ่มยา Benzoyl Peroxide เป็นยาทาสำหรับรักษาสิวหัวช้างอักเสบชนิดต่าง ๆ เพราะมีฤทธิ์ต้านเชื้อแแบคทีเรีย ขจัดน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้า
  • นอกจากสิวหัวช้างรักษาได้ด้วยการใช้ยาทาสิวหัวช้างแล้ว แพทย์อาจแนะนำการรับประทานยาสเตียรอยด์ ยาปฏิชีวนะ หากการอักเสบเข้าขั้นรุนแรงหรือการรักษาด้วยยาทาไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร

 

2. เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์

เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์หรือการฉายรังสีที่มีความยาวคลื่น 10,600 นาโนเมตร เป็นการปล่อยลำแสงเลเซอร์ที่มีพลังงานความร้อนสูง สามารถตัดเนื้อเยื่อได้ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการรักษาสิวหัวช้างที่มีความรุนแรงมาก แต่จะมีค่าใช้จ่ายที่มากกว่า และมีผลข้างเคียงทำให้ผิวมีความไวต่อแสงด้วย

 

3. ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง

ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง แพทย์ผิวหนังจะช่วยตรวจสอบสภาพผิวของแต่ละบุคคล รวมถึงประเภทของสิว และหาวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดได้ แม้จะเป็นสิวหัวช้างเรื้อรัง แพทย์ผิวหนังก็สามารถให้คำแนะนำในการรักษาสิวหัวช้างได้ ดีกว่ากดสิวหัวช้างด้วยตนเอง จนอาจจะเกิดแผลสิวตามมาเป็นปัญหาสิวตามมาที่หลังได้

 

4. การฉีด corticosteroids เข้าที่สิวโดยตรง (Intralesional Injection of corticosteroids)

การฉีดยากลุ่มสเตียรอยด์นี้ช่วยทำสิวหัวช้างที่ไม่ยุบ สิวหัวช้างไม่มีหัวรักษาได้ ยุบตัวลงได้ ถึงแม้จะเป็นวิธีแก้สิวหัวช้าง ที่รวดเร็ว แต่หากไม่ได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ผิวหนังที่ได้รับการฉีดยา อาจจะช้ำ หรือหากได้รับยามากเกินขนาด อาจทำให้ผิวเป็นรอยบุ๋มลงไปได้

วิธีป้องกันการเกิดสิวหัวช้าง

การรักษาสิวหัวช้างอาจใช้ระยะเวลานาน แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถหาวิธีการดูแลรักษาผิวเพื่อลดแนวโน้มการเกิดสิวหัวช้างในอนาคตได้

 

1. ล้างหน้าและเครื่องสำอางให้หมดจด

การล้างหน้าและเครื่องสำอางให้หมดจดเพื่อลดโอกาสการเกิดสิวในอนาคต การใช้เจลล้างหน้าเพียงอย่างเดียวอาจทำความสะอาดผิวได้เพียงด้านนอกแต่ไม่ลึกไปถึงรูขุมขน ส่งผลให้มีครีมกันแดด เครื่องสำอางตกค้างอยู่ในรูขุมขน ทำให้รูขุมขนกว้างได้ การใช้คลีนซิ่งเช็ดผิวเพื่อเป็นการทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึก ป้องกันการมีสิ่งตกค้างที่อาจอุดตันในผิวจะเป็นการลดโอกาสการเกิดสิวได้

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องสำอางที่แนะนำสำหรับผิวหน้ามัน มีแนวโน้มเป็นสิวง่ายคือ Bioderma Sebium H2O คลีนซิ่งไมเซลล่าวอเตอร์ ด้วยโครงสร้างและค่า pH ที่ใกล้เคียงกับผิวจึงเป็นตัวเลือกที่สามารถทำความสะอาดคราบเครื่องสำอางได้อย่างหมดจดและไม่ทำร้ายปราการผิว ลดการอุดตันสาเหตุของการเกิดสิวอีกด้วย

สิวหัวช้าง วิธีรักษาสิวหัวช้าง ใช้ Bioderma Sebium H2O

ด้วยการพัฒนาสูตรของผลิตภัณฑ์ Bioderma กลุ่ม Sebium ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้ร่วมกันและผ่านมาตรฐานระดับโลก เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไว้วางใจได้ และยิ่งได้ประสิทธิภาพเมื่อใช้ด้วยกัน

 

2. รักษาความสะอาดของใบหน้า

การรักษาความสะอาดของใบหน้าเป็นการลดโอกาสการเกิดสิวและปัญหาผิวทั่วไป นอกจากการใช้เจลล้างหน้าและคลีนซิ่งที่ได้มาตรฐานและเหมาะสมกับสภาพผิวแล้ว การรักษาความสะอาดของใบหน้าก็เป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อป้องกันการสะสมของสิ่งสกปรกต่างๆ เช่น หลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวหน้า การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความสะอาดเช่นแปรงแต่งหน้าหรือหน้ากากอนามัยอย่างสม่ำเสมอ และเปลี่ยนปลอกหมอนอยู่เป็นประจำ

 

3. ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว

เมื่อทำความสะอาดหน้าเสร็จแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ โทนเนอร์ เพื่อเป็นการเตรียมผิวหน้าให้พร้อมต่อการบำรุง และควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เซรั่ม และ ครีมบำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิว เช่นการใช้โฟมล้างหน้าหรือเจลล้างหน้าที่เหมาะกับผิว หากผิวมีความแห้งตึงอยู่แล้วอาจเลือกใช้เจลล้างหน้าเพราะมักมีสารตึงผิวน้อย และมีความอ่อนโยนต่อผิว

อย่าง Bioderma Sebium Gel Moussant เป็นเจลล้างหน้าสูตรที่พัฒนามาเพื่อผิวเป็นสิวโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวผสม-ผิวมัน และผิวแพ้ง่าย เป็นสิวโดยเฉพาะ เนื่องจากสามารถทำความสะอาดผิวได้อย่างหมดจด ด้วยส่วนผสมของ Copper Zinc Complex ช่วยลดแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุในการเกิดสิวและยังช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ถึง 68% อีกด้วย

สิวหัวช้าง วิธีรักษาสิวหัวช้าง ใช้ bioderma Sebium Gel Moussant

 

4. หลีกเลี่ยงแสงแดด

แสงแดดมีทั้งความร้อนและรังสียูวีซึ่งทำร้ายผิวได้ ความร้อนจากแสงแดดอาจทำให้ผิวเกิดการผลิตไขมันมากกว่าปกติ และรังสียูวีสามารถทำร้ายผิวถึงภายในได้และส่งผลต่อผิวในระยะยาว การหลีกเลี่ยงแสงแดดจะเป็นการช่วยลดโอกาสการเกิดสิวอุดตันได้ ลดการเกิดสิวหัวช้างได้ด้วย การหลีกเลี่ยงแสงแดดอาจจะเป็นเรื่องยาก อาจจะต้องใช้ครีมกันแดดในการป้องกันผิวจากแสงแดดร่วมด้วย

สิวหัวช้างเป็นหนึ่งในสิวอักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากแบคทีเรีย P.acnes โดยสิวหัวช้างเป็นสิวอักเสบก็จริง แต่เป็นสิวอักเสบที่มีขนาดใหญ่มาก หรือเป็นสิวอักเสบที่เป็นกลุ่มก้อนขึ้นรวมกันอยู่ในจุดเดียว

สิวหัวช้างถ้าปล่อยทิ้งไว้จะเกิดรอยสิวหลงเหลือไว้ได้ง่าย เพราะเป็นสิวที่มีขนาดใหญ่และมักเกิดการอักเสบภายใน ไม่สามารถแคะ แกะ บีบสิวหัวช้างได้ด้วยตนเอง หากบีบสิวหัวช้างด้วยตนเองนั้นจะเกิดเป็นรอยแผล รอยดำในภายหลังได้

สิวหัวช้างใช้เวลากี่วันถึงจะหายนั้นขึ้นอยู่กับว่าเลือกใช้วิธีไหนในการรักษา และสภาพผิวของแต่ละบุคคลแตกต่างกันไป บางวิธีหรือยาทาภายนอกบางตัวอาจจะช่วยให้หายได้ภายใน 3 - 5 วัน ในขณะที่ยาแต้มสิวหัวช้างบางตัวอาจจะใช้เวลานการรักษาเป็นอาทิตย์

สิวหัวช้างอาจจะสามารถหายเองได้ แต่ใช้เวลานาน ซึ่งหากทิ้งเอาไว้นานอาจจะทำให้เกิดรอยสิว รูขุมขนกว้าง หรือหลุมสิวได้ เพราะสิวหัวช้างเป็นสิวที่มีขนาดใหญ่และอักเสบในระดับรุนแรง ทำให้อาจต้องใช้ครีมรักษารอยสิวร่วมด้วยในการแก้ปัญหาสิวหัวช้าง

ทำได้ แต่ไม่แนะนำที่จะให้เจาะหรือบีบสิวหัวช้าง เพราะหากบีบด้วยตัวเองอย่างไม่ถูกวิธี อาจจะยิ่งทำให้สิวยิ่งอีกเสบมากขึ้น และอาจจะทิ้งรอยแผล หลุมสิวเอาไว้ได้

ข้อสรุป

สิวหัวช้างเป็นหนึ่งในประเภทของสิวที่อาจก่อให้เกิดความกังวลใจได้จากขนาดที่ใหญ่ ใช้เวลารักษาค่อนข้างนาน และมีโอกาสเกิดรอยสิวในภายหลัง

แต่ว่าถึงแม้จะใช้เวลานานการรักษาสิวหัวช้างก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินเอื้อม อีกทั้งเมื่อได้เรียนรู้ถึงที่มาของสิวหัวช้างแล้ว จะได้เรียนรู้วิธีการดูแลรักษาผิวเพื่อลดโอกาสการเกิดสิวหัวช้างในภายหลังได้นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการดูแลรักษาผิวหน้าให้สะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานอย่าง Bioderma Sebium Gel Moussant สำหรับการทำความสะอาดใบหน้าลดความมันส่วนเกินบนผิว และ Bioderma Sebium H2O สำหรับการเช็ดคราบเครื่องสำอางและมลภาวะที่อาจหลงเหลืออยู่ในรูขุมขนนั่นเอง

Bioderma ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซีเบี่ยม

ทำความสะอาดและบำรุงผิว

ผิวผสมถึงผิวเป็นสิวง่าย

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซีเบี่ยม (Sébium)

Bioderma ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซีเบี่ยม

ผิวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เนื่องจากผิวจะมีความหนามากขึ้น มันเงา เกิดสิวอักเสบเป็นจุดมากน้อยแตกต่างกันไป และบางครั้งก็ยังคงเป็นเช่นนั้นต่อเนื่องไปจนถึงวัยผู้ใหญ่อีกด้วย

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซีเบี่ยม (Sébium) เป็นผลิตภัณฑ์ที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อผิวมันและเป็นสิวง่ายโดยเฉพาะ
ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซีเบี่ยม (Sébium) มีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและดูแลผิวที่แพทย์ผิวหนังแนะนำโดยเฉพาะ ทั้งผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าสำหรับผิวมัน อย่างเจลล้างหน้าและไมเซล่า วอเตอร์ มอยส์เจอไรเซอร์สำหรับผิวเป็นสิวง่าย และอื่นๆ อีกมากมาย เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวประจำวันให้ตัวคุณเลย!