นอกจากปัญหาผิวเป็นสิวบนใบหน้าอย่างสิวอุดตัน สิวผด สิวอักเสบ ที่อาจก่อให้เกิดความไม่มั่นใจในใครหลายๆคนแล้ว สิวที่หลังก็ยังเป็นอุปสรรคต่อการใส่เสื้อผ้าเปิดหลังอีกด้วย หากใส่เสื้อเปิดหลังหรือว่าไปทะเลแล้วสิวขึ้นหลัง มีจุดนูนหรือตุ่มแดงที่เป็นจุดเด่นบนแผ่นหลังเนียน อาจส่งผลให้เกิดความรู้สึกสูญเสียความมั่นใจและเป็นปัญหาของหลายๆคนได้ แต่ในทุกปัญหาก็มีทางแก้เสมอ เพราะเราก็สามารถรักษาสิวที่หลังได้เช่นเดียวกัน

วันนี้ทาง Bioderma ขอพาทุกท่านมารู้จักกับสิวที่หลังแบบเจาะลึก ไม่ว่าจะสิวที่หลังเกิดจากอะไร มีวิธีรักษาสิวที่หลังแบบใดบ้างที่ได้ผล รวมไปถึงวิธีการดูแลตัวเองเมื่อเป็นสิวที่หลัง และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ใครมีอาการหลังเป็นสิว หรือมีสิวที่หน้าอก ต้องห้ามพลาด เพราะรวมทุกเรื่องที่ต้องรู้ไว้ที่บทความนี้ที่เดียว 

 

สารบัญบทความ

สิวที่หลัง (Back acne หรือ Bacne) คือ ลักษณะของสิวที่ขึ้นบริเวณหลัง โดยมักจะเป็นสิวประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวผดที่หลัง เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่การเป็นสิวที่หลังเกิดจากหลายๆ สาเหตุทั้งฮอร์โมน ความเครียด สิ่งสกปรกต่างๆ จนทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน หรืออาจเป็นผู้ที่แพ้เหงื่อตัวเองก็มีส่วนทำให้สิวขึ้นหลังได้ ทำให้แต่ละคนมีความรุนแรงของสิวที่แตกต่างกันออกไป บางคนอาจสิวขึ้นที่หลังมาก บางคนอาจขึ้นที่หลังน้อย ในบางกรณีผู้ที่เป็นสิวที่หลังมักจะมีสิวบริเวณที่ใกล้เคียงร่วมด้วยอย่างเช่นสิวที่หน้าอก และสิวที่หัวไหล่ เป็นต้น

รักษาสิวที่หลัง2อาทิตย์

สิวที่หลังเกิดจากสาเหตุใด

หลายคนอาจมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสิวว่าการเกิดสิวทุกประเภทนั้นเป็นเพราะไม่ดูแลความสะอาดให้ดีพอ แต่จริงๆ แล้วการเกิดสิวมีปัจจัยหลายอย่าง สิวที่หลังก็เช่นกัน ก่อนจะไปดูรายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับสิวที่หลัง เรามาดูสาเหตุกันก่อนดีกว่าสาเหตุสิวที่หลังเกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง

 

ปัจจัยภายในที่ทำให้หลังเป็นสิว

ปัจจัยภายในร่างกายถือเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวที่หลัง ซึ่งแต่ละคนที่เป็นสิวที่หลังอาจเกิดจากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง เช่น

  • ฮอร์โมน ฮอร์โมนในร่างกายทั้งเพศชายและหญิงอาจมีช่วงที่ค่อนข้างแปรปรวนตามปัจจัยภายนอกต่างๆ ก่อให้ร่างกายหรือต่อมไขมันกระตุ้นการผลิตสิวที่หลังได้ ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงที่มีประจำเดือน คนที่กำลังเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้บางคนมีสิวขึ้นบริเวณใบหน้า หรือบางคนอาจจะมีสิวขึ้นที่หลังได้ด้วยเช่นกัน
  • กรรมพันธุ์ การที่ผิวเป็นสิวสามารถส่งต่อกันในครอบครัวได้ หากสมาชิกในครอบครัวมีผิวที่บอบบาง ผิวแพ้ง่าย เป็นสิวง่าย ลักษณะพันธุกรรมทางผิวอาจส่งต่อให้กับสมาชิกในครอบครัวรุ่นถัดมา ส่งผลให้มีแนวโน้มผิวเป็นสิวง่ายด้วย เช่น ใครในครอบครัวที่มีประวัติเป็นสิวที่หลัง คนในครอบครัวที่เป็นลูกหลานก็อาจมีโอกาสเกิดสิวที่หลังได้เช่นกัน 
  • ความเครียดสะสม ความเครียดถือเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวที่หลังได้เช่นกัน เพราะความเครียดนอกจากจะกระตุ้นฮอร์โมนให้เกิดสิวได้แล้ว ยังส่งผลให้ผิวมีความเครียดและก่อให้เกิดสิวง่ายขึ้นอีกด้วย และความเครียดยังทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากกว่าปกติ ซึ่งเมื่อมีน้ำมันมากขึ้นก็ส่งผลให้ผิวเกิดการอุดตันได้ง่ายขึ้นนั่นเอง 

 

ปัจจัยภายนอกที่ทำให้เกิดสิวที่หลัง

นอกจากปัจจัยภายในแล้ว ยังมีปัจจัยภายนอกที่อาจกระตุ้นให้เกิดสิวที่หลัง ซึ่งได้แก่

  • เหงื่อและสิ่งสกปรก การอุดตันของเหงื่อ น้ำมัน และสิ่งสกปรกบนผิวสามารถก่อให้เกิดสิวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นสิวที่หลัง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีเหงื่อ รวมถึงน้ำมัน และสิ่งสกปรกบนผิวหนังซึ่งเมื่ออยู่รวมกันจะทำให้เกิดการอุดตันที่รูขุมขนได้ง่าย เนื่องจากมักอยู่ในบริเวณร่มผ้าและมีความอับชื้น
  • อาหาร การรับประทานอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูงอาจทำให้เกิดสิวขึ้นหลังได้ ไม่ใช่แค่บริเวณใบหน้าแต่รวมถึงสิวที่หลังอีกด้วย
  • ผลข้างเคียงจากการใช้ยา อีกหนึ่งปัจจัยภายนอกที่ทำให้เกิดสิวที่หลังคือการใช้ยา เพราะยาบางชนิดส่งผลต่อฮอร์โมนหรือระบบต่อมไร้ท่อ เช่น ยาคุม ยารักษาโรคบางชนิด ซึ่งเป็นปัจจัยในร่างกายที่ส่งผลต่อการผลิตสิวและการรักษาสิวของร่างกายอีกด้วย ดังนั้นการใช้ยาบางชนิดอาจต้องมีการปรึกษากับแพทย์ถึงผลข้างเคียงที่อาจตามมา หรืออาจมีการปรึกษากับแพทย์ถึงการลดขนาดยาที่ใช้
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ทำความสะอาดผิว อาจจะเป็นเรื่องหลายคนคาดไม่ถึงแต่การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวอย่างครีมอาบน้ำ หรือแม้กระทั่งผลิตภัณฑ์ดูแลหนังศีรษะบางชนิดอย่างแชมพู ครีมนวดผม ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ดูแลผิวต่างๆ อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองบริเวณหลังจนสิวขึ้นหลังได้เช่นกัน

หลาย ๆ คนคงจะประสบกับปัญหาสิวที่หลังเยอะมาก แต่รู้หรือไม่ว่าที่หลังของเรานั้นอาจจะไม่ใช่สิวประเภทเดียวกัน เพราะสิวที่หลังมีหลายประเภทแบ่งตามลักษณะของสิวแต่ละชนิด หากเราทราบถึงสิวแต่ละประเภทแล้ว แล้วก็จะสามารถทราบได้ว่าสิวที่หลังรักษาได้อย่างไร แล้วจะแก้สิวที่หลังอย่างไร

ชนิดของสิวที่หลังชนิดแรก คือ สิวหัวขาวมีลักษณะเป็นสิวอุดตันแบบหัวปิด โดยสีขาวที่ปรากฏคือไขมันและสิ่งที่อุดตันอยู่ในรูขุมขน ส่วนมากสิ่งที่อุดตันสำหรับสิวหัวขาวมักจะเป็นเซลล์ผิวที่ตายแล้วและหลุดลอกออกไปตกค้างอยู่ในผิว โดยส่วนใหญ่แล้วสิวอุดตันหัวขาวเกิดขึ้นได้ทั้งจากปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก ซึ่งมักจะเกิดในบริเวณแก้มและหน้าผาก แต่อย่างไรก็ตามอาจเกิดสิวที่หลังได้เพราะบริเวณหลังมีความอับชื้นจากการใส่เสื้อผ้าบางชนิด หรือมีเหงื่อออกบ่อยๆ ในขณะทำกิจกรรม ก็สามารถทำให้เกิดสิวอุดตันหัวขาวขึ้นได้เหมือนกัน

สิวเต็มหลัง

สิวหัวดำ มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็กมีจุดสีดำตรงกลาง โดยสีขาวที่ปรากฏคือไขมันที่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนและเปลี่ยนเป็นสีดำ จึงมีลักษณะคล้ายสิวเสี้ยนที่หลัง ซึ่งสิวหัวดำถือเป็นสิวอุดตันประเภทหัวเปิด โดยการเกิดสิวที่หลังอย่างสิวหัวดำนั้นจะเกิดขึ้นจากสาเหตุการอุดตันของน้ำมันที่ต่อมไขมันผลิตออกมามากเกินไปที่อาจปนไปกับเหงื่อบนผิวหนัง หรือแม้กระทั่งความเครียด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เป็นต้น

สิวเต็มหลัง

สิวที่หลังอีกหนึ่งประเภท คือ สิวอักเสบแบบตุ่มนูนแดงจะมีลักษณะเป็นสิวสีชมพูขนาดเล็ก มักเกิดจากสิวอุดตันที่อักเสบ ดังนั้นจะมีความไวต่อการสัมผัส ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสสิวประเภทดังกล่าวเนื่องจากอาจทำให้ติดเชื้อและอักเสบรุนแรงขึ้นได้ ไม่ควรบีบ แคะ แกะเกาสิวเมื่อเป็นสิวที่หลังในลักษณะนี้ เพราะอาจทำให้รอยสิวตามมาทักทายได้

สิวเต็มหลัง

สิวอักเสบแบบหัวหนองเป็นสิวอักเสบที่มีหัวหนองเป็นสีขาว ซึ่งสิวชนิดนี้เมื่อเป็นสิวที่หลังหลายคนจะรู้สึกเจ็บบริเวณผิวที่เป็นสิวเมื่อไปโดน หรือสัมผัสเข้า เนื่องจากอาการอักเสบและบวมแดงของสิวชนิดนี้ โดยแนะนำว่าหากเป็นสิวที่หลังประเภทนี้ไม่ควรบีบ แคะ แกะ เกา เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อและอักเสบรุนแรงกว่าเดิมได้ 

สิวเต็มหลัง

สิวที่หลังอีกหนึ่งชนิด คือ สิวอักเสบแดงแบบก้อนลึกเป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่อยู่ภายใต้ผิวหนัง หรือที่เรียกกันว่า สิวเป็นไต หรือ สิวไม่มีหัว มีลักษณะที่แข็ง อักเสบ ไม่มีหัว อาจมีอาการ เจ็บ ปวด คัน ร่วมด้วย โดยสิวประเภทนี้เป็นสิวที่ใช้เวลาในการรักษานาน และไม่ควรกดหรือบีบสิว เพราะจะยิ่งทำให้ผิวบริเวณนั้นช้ำ ทิ้งรอยมากขึ้นกว่าเดิมได้

สิวเต็มหลัง

สิวที่หลังประเภทสุดท้ายคือ สิวหัวช้าง ซึ่งมีขนาดใหญ่ มีหนองและอาจมีอาการเจ็บ ปวดสิวร่วมด้วย ไม่ควรบีบ แคะ แกะ เกาสิวหัวช้างเนื่องจากเป็นสิวระดับรุนแรงในชั้นผิวหนังแท้ และยังมีแนวโน้มทิ้งรอยแผลและเกิดแผลเป็นได้ง่าย เนื่องจากสิวหัวช้างมีขนาดใหญ่และไม่มีหัวสิว ทำให้ต้องใช้วิธีรักษาที่ละเอียดซับซ้อนกว่าสิวชนิดอื่นๆ 

นอกจากนี้อาจจะเกิดปัญหาผิวอื่น ๆ ที่หลังได้เช่นกัน เช่น สิวเสี้ยนที่หลัง ผื่นคันที่หลัง สิวผด เป็นต้น

สิวเต็มหลัง

สำหรับวิธีการรักษาสิวที่หลังนั้นจะมีความคล้ายกับการรักษาสิวอื่น ๆ คือเน้นไปที่การรักษาความสะอาด และใช้ยาทาสิวที่หลังร่วมด้วยก็จะช่วยแก้สิวที่หลังได้ นอกจากนี้ยังสามารถรักษาร่วมกับวิธีอื่นเพื่อที่จะได้เห็นผลลัพธ์ที่ดี เช่น ทานยารักษาสิว สครับผิว เป็นต้น การรักษาสิวที่หลังจะได้ผลดีที่สุดเมื่อมีวินัยรักษาความสะอาด และใช้วิธีการรักษาสิวที่หลังหลายรูปแบบควบคู่กันไปดังนี้

สิวเสี้ยน วิธีรักษาสิวสี้ยน สิวเสี้ยนที่หลัง

การใช้ยารักษาสิวที่หลัง

การรักษาสิวที่หลังในรูปแบบการใช้ยามีทั้งแบบชนิดการใช้ทาภายนอก และวิธีการใช้ยาแบบรับประทาน โดยการใช้ยารักษาสิวที่หลังนั้นจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลขอแพทย์และเภสัชกร ซึ่งการใช้ยารักษาสิวที่หลังโดยใช้ยาแต่ละแบบมีดังนี้

 

การใช้ยาทาเฉพาะที่ (ใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนัง)

การใช้ยารักษาสิวที่หลังมีอยู่หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นยารักษาสิวทั่วไป หรือผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อการรักษาสิวหลังโดยเฉพาะ มักมีรูปแบบสเปรย์รักษาสิวที่หลังเพื่อให้ยากระจายทั่วแผ่นหลังได้ดี โดยทั่วไปแล้วยารักษาสิวสามารถรักษาสิวที่หลัง 2 อาทิตย์ได้ ใช้เวลาไม่นาน หรือสามารถเลือกใช้ยาทาเฉพาะที่ก็ได้ เช่น

  • เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) : เป็นยารักษาสิวที่สามารถต้านเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวได้ และช่วยลดน้ำมันส่วนเกิน สิ่งสกปรกสาเหตุของการเกิดสิวถูกขจัดออกไป
  • กรดซาลิซิลิก (Salicylic Acid) : คือกรดอ่อนๆที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดลอกออกไป ทำให้ไม่เกิดการอุดตันในรูขุมขนบ่อเกิดของการเกิดสิว
  • รีซอร์ซินอล (กำมะถัน) : เป็นสารที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค แบคทีเรีย ที่จะทำให้ผิวหน้าระคายเคือง และกระตุ้นให้เกิดสิวขึ้นมาได้

แต่การใช้ยาทาเฉพาะที่ดังกล่าวเพื่อรักษาสิวที่หลังนั้นควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนังเนื่องจากตัวยาแต่ละชนิดเป็นสารที่ค่อนข้างรุนแรงต่อผิว และสภาพผิวของแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะในผู้ที่ใช้ยาดังกล่าวร่วมกับยาชนิดอื่นด้วย ควรมีการปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบสภาพผิวก่อนการใช้ยา ไม่งั้นจากการลดสิวที่หลัง อาจจะทำให้สิวที่หลังเพิ่มขึ้นแทน

 

การใช้ยารับประทาน (ใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนัง)

การรักษาสิวที่หลังโดยใช้ยารับประทานจะเป็นการใช้ในกรณีที่มีเป็นสิวที่หลังจำนวนมาก โดยเฉพาะสิวอักเสบ สิวหัวหนอง ซึ่งรักษาสิวที่หลังโดยใช้ยารับประทานนั้นจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ว่าควรรับประทานในปริมาณเท่าไหร่ ที่สำคัญยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงในขณะรับประทาน และไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์อีกด้วย จึงทำให้การรักษาสิวที่หลังด้วยวิธีนี้ไม่สามารถซื้อยามารับประทานเองได้ โดยตัวอย่างยาที่ใช้ในการรับประทานเพื่อรักษาสิวนั้นมีดังนี้

  • วิตามินเอสังเคราะห์ สำหรับวิตามินเอสังเคราะห์ที่เป็นยาที่ใช้รับประทานเมื่อมีอาการสิวในบริเวณต่างๆ ที่รุนแรงนั้นคือตัวยาที่มีชื่อสามัญว่าไอโสเตรติโนอิน (isotretinoin) หรือเรติโนอิก แอซิด (retinoic acid) ที่จะช่วยยับยั้งสาเหตุการเกิดสิว ลดอาการอักเสบของสิว เช่น สิวที่ใบหน้า หรือสิวที่หลัง เป็นต้น โดยการรับประทานวิตามินเอสังเคราะห์จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์เท่านั้น และเป็นยาที่ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์
  • ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม โดยการรับประทานยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวมนั้นสามารถรับประทานเพื่อแก้ปัญหาสิวที่หลังได้ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีความรุนแรงของสิวที่หลังในระดับปานกลาง อย่างไรก็ตามการรับประทานยาคุมกำเนิดเพื่อรักษาสิวอาจมีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้เช่น วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักเพิ่มขึ้น เป็นต้น
  • ยาปฏิชีวนะ การรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาสิวที่หลังก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยยาปฏิชีวนะที่รับประทานเพื่อรักษาสิวคือ เตตร้าซัยคลิน (tetracycline) และด็อกซี่ซัยคลิน (doxycycline) จะออกฤทธิ์เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียของสิว ซึ่งยาปฏิชีวนะจำเป็นต้องรับประทานหลังอาหาร และอาจจะต้องรับประทานยาเป็นเวลาหลายสัปดาห์เพื่อรักษาสิวที่หลัง

การเลเซอร์เพื่อรักษาสิวที่หลัง

การเลเซอร์รักษาสิวที่หลังเป็นอีกหนึ่งวิธีที่รักษาสิวที่หลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังใช้เวลาไม่นานก็เห็นผลลัพธ์ที่ดีได้ แต่ก็ยังต้องรักษาควบคู่ไปกับการใช้ยารักษาสิวที่หลังไปด้วย โดยมีเลเซอร์ให้เลือกหลากหลายรูปแบบ สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม และความสะดวกได้ดังนี้

  • ไอพีแอลเลเซอร์ (IPL Laser:Intense Pulse Light) ลักษณะคล้ายกับแสงแฟลชของกล้องถ่ายรูป มีช่วงความยาวคลื่นแสงกว้าง ทำให้รักษาสิวได้อย่างครอบคลุม ทั้งลดการอักเสบ ลดรอยดำสิว ลดรอยแดงสิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวอักเสบที่หลังเยอะ นอกจากนี้ยังช่วยกำจัดขนได้อีกด้วย
  • คิวสวิตเลเซอร์ (Q-Switch Laser) เป็นเลเซอร์ที่มีพลังงานสูงเพื่อทำให้เม็ดสีแตกตัว และไม่ไปทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียง สามารถลบรอยดำสิว รอยแดงสิว และสิวอักเสบได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน เหมาะสำหรับผู้ที่มีรอยสิวที่หลังเยอะ
  • พิโคเลเซอร์ (PICO Laser) เป็นเลเซอร์เทคโนโลยีใหม่ที่มีพลังงานสูง มีจุดเด่นเรื่องระยะเวลาทำที่รวดเร็ว ไม่ทำให้เกิดความร้อนบนผิว ช่วยทำให้เม็ดสีแตกตัวได้ดี กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียน เหมาะสำหรับผู้ที่อยากรักษารอยสิวที่หลัง
  • ไดโอดเลเซอร์ (Diode Laser) เป็นเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นหลากหลาย ปกติแล้วไดโอดเลเซอร์มักจะใช้ในการกำจัดขน แต่ก็สามารถรักษาสิวได้ด้วย โดยรักษาได้ทั้งสิวอุดตันและสิวอักเสบ เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวที่หลังไม่ว่าจะเป็นสิวอุดตันหรือสิวอักเสบ

การป้องกันไม่ให้เกิดสิวที่หลังเลยอาจทำได้ยากด้วยปัจจัยการเกิดสิวที่อยู่นอกเหนือการควบคุม เช่น ระดับของฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ดังนั้นวิธีการป้องกันที่ดีที่สุดและได้ผลที่สุดคือการลดแนวโน้มการเกิดสิว หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดสิว เพื่อเป็นการลดโอกาสการเกิดสิวที่หลัง

1. สระผมอย่างสม่ำเสมอ ไม่ปล่อยให้ผมมัน

ขั้นแรกของการป้องกันสิวที่หลังคือการสระผมอย่างสม่ำเสมอ ไม่ปล่อยให้ผมมีความมันสะสมโดยเฉพาะผู้ที่มีผมยาว เนื่องจากผมที่มีความมันอาจมีสิ่งสกปรกสะสมตกค้างและอุดตันในผิวได้จนนำไปสู่การเกิดสิวที่หลังได้ การสระผมอย่างสม่ำเสมอทั้งในผู้ที่มีผมสั้นและผมยาวจึงเป็นขั้นตอนการป้องกันการเกิดสิวที่หลังอีกหนึ่งขั้นตอนที่สำคัญ

2. อาบน้ำหลังออกกำลังกาย

อาบน้ำหลังออกกำลังกาย การออกกำลังกายมักทำให้เหงื่อออกโดยเฉพาะบริเวณหลัง การอาบน้ำหลังออกกำลังกายจะช่วยลดแนวโน้มเหงื่ออุดตันในผิว ช่วยลดแนวโน้มการเกิดสิวที่หลังได้

3. การทําความสะอาดหลังให้สะอาด

สาเหตุหนึ่งในการเกิดสิวที่หลังคือการละเลยการทำความสะอาดหลัง เนื่องจากหลังเป็นบริเวณที่อาจล้างได้ยาก การใช้อุปกรณ์ช่วยทำความสะอาด เช่น แปรงขัดหลัง สครับขัดหลัง เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในการรักษาความสะอาดหลังให้เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น พร้อมทั้งยังสามารถทำความสะอาดได้อย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญยังช่วยป้องกันการเกิดสิวที่หลังไม่ให้ขึ้นจนหมดความมั่นใจ โดยสามารถเลือกแปรงที่มีความนุ่มเพื่อเป็นการทำความสะอาดรูขุมขนแต่ก็ยังถนอมผิวในเวลาเดียวกันได้

4. ใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ หากเหงื่อออก และหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่อับชื้น

การใส่เสื้อผ้าหลวมๆ หากเหงื่อออก และหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่อับชื้นเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนในการป้องกันการเกิดสิวที่หลัง เพราะการใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นทำให้ผิวเกิดความอับชื้นในร่มผ้าได้ หรือหากใส่เสื้อผ้าที่มีขนาดพอดีไปจนถึงหลวมแต่กลับอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง เช่น ใช้เครื่องทำความชื้นมากเกินไป หรือเป็นฤดูฝนที่ฝนตกติดต่อกันเป็นระยะเวลานานหลายวันจนเกิดความอับชื้น ผิวจะเกิดการอุดตันเหงื่อได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมจนนำไปสู่การเกิดสิวที่หลังได้ 

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ผื่นแพ้เสื้อผ้า ตอนนี้!

5. ขัดผิวอย่างอ่อนโยน

การขัดผิวอย่างอ่อนโยน เพราะการขัดผิวด้วยความรุนแรงหรือใช้อุปกรณ์อย่างแปรงขัดหรือสครับขัดผิวที่หยาบเกินไปอาจบาดผิว ทำให้รูขุมขนเกิดความระคายเคืองและอักเสบเป็นสิวที่หลังได้ การขัดผิวอย่างอ่อนโยนจะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไปไม่เสี่ยงอุดตันจนเกิดสิวที่หลัง และที่สำคัญยังช่วยถนอมผิวไม่ให้เกิดความระคายเคืองหรืออักเสบอีกด้วย

สิวหัวช้างที่หลัง

นอกจากกันป้องกันสิวที่หลังแล้ว หากท่านใดมีสิวที่หลังคงเกิดข้อสงสัยว่าแล้วแบบนี้จะต้องดูแลตนเองอย่างไรบ้างเมื่อมีสิวที่หลัง ทาง Bioderma ไม่รอช้าจึงขอพาไปชมวิธีการดูแลผิวเมื่อสิวขึ้นหลัง ดังต่อไปนี้ 

1. การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน

เมื่อเป็นสิวที่หลังแล้วการดูแลตัวเอง และผิวบริเวณที่เป็นสิวถือเป็นเรื่องที่สำคัญ ถึงแม้ว่าผิวบริเวณหลังจะเป็นบริเวณที่สัมผัสกับฝุ่นและมลภาวะน้อยกว่าผิวช่วงใบหน้าจึงมีแนวโน้มปราการผิวที่แข็งแรงกว่า แต่สิวขึ้นหลังแล้วก็ต้องการผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนกับผิวเพื่อป้องกันความระคายเคืองที่อาจเกิดกับผิวได้ ซึ่งเจลสำหรับล้างหน้าก็สามารถใช้ทำความสะอาดหลังและผิวส่วนอื่นที่เป็นสิวได้เช่นเดียวกัน

2. หลีกเลี่ยงการบีบ แกะ สิวที่หลัง

ต้องฝากถึงคนที่เป็นสิวที่หลังเลยว่าเมื่อสิวขึ้นหลังแล้วมีสิ่งที่ไม่ควรทำที่สุดเลยก็คือการบีบ แกะ สิวที่หลัง บางครั้งการลูบผิวบริเวณหลังอาจสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนูนหรือขรุขระ และหลายคนมักลืมตัวบีบ แกะสิวดังกล่าวได้ การบีบสิว แกะสิวที่หลังอาจเป็นการกระตุ้นให้เกิดสิวเพิ่มเติมในบริเวณใกล้เคียง และที่สำคัญยังทิ้งรอยดำ รอยแผลไว้ให้เห็นบนผิวอีกด้วย 

3. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดรอยสิวได้อย่างอ่อนโยน

สำหรับใครที่มีสิวที่หลัง รวมถึงคนที่รักษาสิวที่หลังหายขาดแล้วแต่กลับทิ้งรอยไว้ แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมสำหรับการช่วยลดรอย ซึ่งการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติช่วยลดรอยทุกวันจะช่วยให้รอยสิวที่หลังจางลงไวขึ้นได้ และหลังกลับมาเรียบเนียนขึ้นจนใส่เสื้อผ้าเปิดหลังได้อย่างมั่นใจเหมือนเคย

4. สครับผิวที่หลัง

การสครับผิวหลังเพื่อเป็นการเร่งการผลัดเซลล์ผิวจะช่วยให้รอยสิวดูจางลงได้อย่างรวดเร็ว แต่ควรระมัดระวังความถี่ในการสครับหลัง เพราะการสครับหรือขัดผิวที่บ่อยเกินไปอาจเป็นการรบกวนผิว ก่อให้เกิดความระคายเคืองได้ หลายคนคงคาดหวังให้มีการรักษารอยสิวที่หลังภายใน 7 วันแล้วรอยสิวจะหายไป แต่คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากในการรักษารอยสิวที่หลังแบบเร่งด่วน เพราะการใช้ผลิตภัณฑ์รักษารอยสิวที่อ่อนโยน แต่ค่อยๆ ใช้ระยะเวลาในการรักษา จะเป็นการดีกว่า เพราะไม่สร้างความระคายเคืองให้กับผิวอย่างรุนแรง

สิวยีสต์ที่หลัง

ตอบคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวที่หลัง

สำหรับระยะเวลาการรักษาสิวที่หลังนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิวที่ขึ้นหลังว่ามีความรุนแรงเท่าใด หากสิวขึ้นหลังเยอะมากอาจต้องใช้เวลาในการรักษามากกว่าคนเป็นสิวที่หลังน้อยจนถึงปานกลาง อย่างไรก็ตามโดยปกติแล้วการรักษาสิวที่หลังนั้นอาการความรุนแรงจะค่อยๆ ดีขึ้นและเห็นผลการเปลี่ยนแปลงใน 2-4 สัปดาห์ และสามารถหายขาดได้ในระยะเวลา 1-2 เดือนหรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิวที่หลังตามที่ได้กล่าวไป

ไม่พลาดเคล็ดลับดีๆ รักษาสิวด้วยตนเอง คลิกเลย!

จริงๆ แล้วเมื่อเป็นสิวที่หลังนั้นไม่แนะนำให้ใช้คอนซีลเลอร์เพราะอาจทำให้เกิดการอุดตันได้ แต่หากมีความจำเป็นต้องใส่เสื้อผ้าที่ต้องเผยแผ่นหลังแล้วนั้น แนะนำให้ใช้คอนซีลเลอร์ที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองของผิว และควรเป็นคอนซีลเลอร์ที่อ่อนโยนกับสิวที่หลัง ที่สำคัญต้องทำความสะอาดในบริเวณที่ลงคอนซีลเลอร์กลบสิวที่หลังให้สะอาดเพื่อลดการอุดตันนั่นเอง

บอกลาปัญหาสิวที่หลังวันนี้ 

การรักษาสิวที่หลังสามารถใช้วิธีการดูแลผิวแบบเดียวกับสิวบริเวณอื่นได้เช่นกัน เช่น สิวบริเวณใบหน้า และรอยสิวที่หลังก็สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าเพื่อทำความสะอาดได้ การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิวและดูแลผิวได้อย่างทั่วถึงจึงเป็นตัวเลือกที่สำคัญในการช่วยลดสิวที่หลังได้เช่น Bioderma Sebium Gel Moussant ซึ่งเป็นเจลล้างหน้าสูตรสำหรับผิวเป็นสิวโดยเฉพาะ ทั้งสิวบนใบหน้าและสิวที่หลังด้วย สามารถทำความสะอาด ลดสิว และกักเก็บความชุ่มชื้นในผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ