Combination to Oily Blemished Skin

โดยทั่วไป ผิวมันจะมีเนื้อสัมผัสที่หนากว่า รูขุมขนกว้าง และมีลักษณะที่หมองคล้ำ มันเยิ้มและมันวาว  ลักษณะที่ปรากฏนี้เกิดจากไขมันจากต่อมไขมันใต้ผิวหนัง (sebum) ที่เป็นความมันส่วนเกิน ซึ่งเอื้อต่อการเกิดสิวอักเสบเป็นจุดบนผิวหนัง เช่น "สิวหัวดำ" และ "สิวอักเสบ"   สำหรับผิวผสม สิวอักเสบเป็นจุดมักจะขึ้นที่บริเวณทีโซน (T-zone) ได้แก่ หน้าผาก จมูก และคาง ใบหน้าและร่างกายส่วนที่เหลืออาจมีผิวธรรมดาหรือผิวแห้งเลยด้วยซ้ำ  ผิวผสมจะขาดสมดุลและถูกทำลายได้ง่าย

สิวเกิดจากอะไร

สิวคือภาวะผิวหนังอักเสบที่ส่งผลต่อท่อขุมขน-ต่อมไขมัน (pilo-sebaceous follicle) สามปัจจัยที่เกี่ยวข้องอันเป็นเหตุให้เกิดสิวได้แก่ การทำงานของต่อมไขมันมากเกิน (hyperseborrhea)การก่อตัวหนาผิดปกติของผิวหนังชั้นนอกสุดจากการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วผิดปกติ (hyperkeratinisation) และการเพิ่มจำนวนของแบคทีเรีย

Too much sebum pore

การทำงานของต่อมไขมันมากเกิน (hyperseborrhea)

คือการผลิตไขมันจากต่อมใต้ผิวหนัง (sebum) มากเกินไป ซึ่งเกิดจากการทำงานของฮอร์โมนในช่วงวัยแรกรุ่น ผิวจะดูมันเยิ้มและดูเงา นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงต่อความผิดปกติของไขมันจากต่อมใต้ผิวหนัง (sebum) ในเชิงคุณภาพอีกด้วย ซึ่งหมายความว่าองค์ประกอบของไขมันจากต่อมใต้ผิวหนัง (sebum) จะแตกต่างจากไขมันจากต่อมใต้ผิวหนัง (sebum) ที่มีสุขภาพดี มีความข้นหนืดและจะไหลออกจากรูขุมขนได้ยากลำบากขึ้น ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดสิวอุดตันขึ้นได้

Clogged pore

การก่อตัวหนาผิดปกติของผิวหนังชั้นนอกสุดจากการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วผิดปกติ (hyperkeratinisation)

คือ การเพิ่มจำนวนของเซลล์ผิวในผนังท่อรูขุมขนมากเกินไปจนอุดตันรูขุมขนและกันไม่ให้ไขมันจากต่อมใต้ผิวหนัง (sebum) ไหลออกมา ซึ่งทำให้เกิดสิวอุดตัน ซึ่งผิวจะเกิดเป็นตุ่มนูนขนาดเล็กที่มีสีเดียวกับผิว (สิวอุดตันหัวปิด หรือซีสต์ขนาดเล็ก (microcyst)) ทำให้ผิวหนังมีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ หรือมีจุดสีดำตรงกลาง (สิวอุดตันหัวเปิด) ซึ่งแสดงว่ามีเมลานิน (เม็ดสีผิว) ปรากฏอยู่บนพื้นผิวของสิวอุดตัน

Inflamed pore

การเพิ่มจำนวนของแบคทีเรีย กล่าวคือ

ไขมันจากต่อมใต้ผิวหนัง (sebum) เป็นสารอาหารในอุดมคติสำหรับแบคทีเรียบางชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว (Propionibacterium acnes) ซึ่งพบได้ตามธรรมชาติบนตัวทุกคน แต่ในกรณีของสิวนั้น แบคทีเรียจะทวีคูณในท่อขุมขน-ต่อมไขมัน (pilo-sebaceous follicle) และทำให้เกิดการอักเสบ สิวอุดตันจะกลายเป็นสิวเม็ดแดงที่สร้างความเจ็บปวดซึ่งเรียกว่าผื่นนูน (papule) (หรือผื่นสิวอักเสบ (inflammatory lesion))

ประเภทของสิวมีอะไรบ้าง

สิวมีรอยโรคหลายประเภท ซึ่งมักเกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของไขมันในต่อมไขมัน (เรียกว่า การทำงานของต่อมไขมันมากเกิน (hyperseborrhea))

Microcyst

รอยโรคของสิวอุดตัน (Comedonal lesions) ได้แก่

สิวอุดตันหัวปิด หรือซีสต์ขนาดเล็ก (microcyst),
สิวอุดตันหัวเปิด หรือ “สิวหัวดำ” ("blackheads") และบางครั้งซีสต์ขนาดใหญ่กว่าปกติ (มากกว่า 5 มิลลิเมตร) จะเรียกว่าซีสต์ขนาดใหญ่ (macrocysts)

Papule

ผื่นสิวอักเสบ (inflammatory lesion)

ผื่นสิวอักเสบ ได้แก่ ผื่นนูน (papule) ตุ่มหนอง (pustule) และตุ่มเล็กๆ (nodule) อันเนื่องมาจากการอักเสบของรอยโรคที่คั่งอยู่ข้างใน

Relief scar

รอยแผลเป็นจากสิ่งที่อาจจะเป็นรอยโรคได้

จุดที่มีเม็ดสีผิวมากเกินไปที่เกิดจากการอักเสบบนผิวสีมะกอก (สีแทนอ่อนถึงปานกลาง) หรือผิวดำ

ภาวะนี้กินเวลาหลายปี โดยมีผื่นอักเสบเห่อขึ้นมา ตราบใดที่รอยโรคยังคงอยู่ (สิวอุดตัน)

ในบางกรณีซึ่งอาจมีโอกาสเกิดขึ้นได้ยาก สิวอาจเกิดกับทารกแรกเกิดได้ เนื่องจากฮอร์โมนแอนโดรเจนของมารดา หรือเกิดในทารกที่มีอายุมากขึ้นหน่อย  สิวเป็นโรคผิวหนังในวัยรุ่น  ต้องพิจารณาแง่มุมที่หลากหลายซึ่งรวมเอารอยโรคประเภทต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน
ภาวะโดยทั่วไปจะเริ่มขึ้นในช่วงอายุ 12 ถึง 14 ปี และส่งผลต่อบริเวณที่มีน้ำมันมากที่สุด เช่น ใบหน้า และบ่อยครั้งตามหน้าอกและแผ่นหลัง ในระดับมากน้อยต่างกันไป สิวเกิดจากความไม่สมดุลในการหลั่งฮอร์โมนในช่วงวัยแรกรุ่น

ในผู้หญิง โดยเฉพาะหลังอายุ 30 ปี สิวมักจะขึ้นที่ใบหน้าส่วนล่าง (กราม) และคอมากกว่า  บ่อยครั้งมักจะมีปัจจัยด้านฮอร์โมนมาเสริมเข้าไปในสาเหตุดั้งเดิมของการเกิดสิว

Mother and daughter sitting and together

สิวในผู้หญิงต่างกันอย่างไร

ปัจจัยที่เสริมให้เกิดสิวในวัยผู้ใหญ่คือ

Sun

เครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสม

แสงแดด อาหาร ฯลฯ

Smoking

การสูบบุหรี่เองก็เสริมปรากฏการณ์นี้เช่นกัน

กล่าวคือ มากกว่า 41% ของผู้สูบบุหรี่จะมีสิว เทียบกับผู้ไม่สูบบุหรี่จะเป็นสิวแค่ 9%

Microbiomy

พันธุกรรมก็อาจมีบทบาทเช่นกัน

อันที่จริงในกรณีที่ครอบครัวมีประวัติเป็นสิว ก็มักมีปัญหาผิวหนังประเภทนี้เกิดขึ้นในวัยผู้ใหญ่เช่นกัน

Pills

และสุดท้าย

การรักษาด้วยยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ฮอร์โมน และยาต้านอาการซึมเศร้า ก็อาจทำให้เกิดสิวและสิวอักเสบเป็นจุดอื่นๆ ขึ้นได้

ผิวของผู้หญิงในวัยผู้ใหญ่จะต่างจากผิวของวัยรุ่น คือมีภาวะอักเสบจากต่อมไขมันในชั้นผิวหนัง (seborrhoeic) น้อยลง ซึ่งหมายความว่าจะผลิตไขมันจากต่อมใต้ผิวหนัง (sebum) น้อยลง สิวอักเสบเป็นจุดส่วนใหญ่จะอยู่ที่ใบหน้าส่วนล่าง (คาง คอ และกรามล่าง) สิวเหล่านี้จะเรื้อรังและอักเสบซ้ำบ่อย (สิว) และเป็นสิวอุดตัน (สิวหัวดำ)   เพื่อแก้ไขปัญหาผิวเหล่านี้ จำเป็นต้องใช้การรักษาที่เหมาะสม ซึ่งต่างจากการรักษาสิวในวัยรุ่น

    รู้หรือไม่

    ปัญหาเกี่ยวกับสิวอักเสบ ได้แก่

    • 50% ของผู้หญิงอายุเกิน 25 ปี มีปัญหาเรื่องสิวอักเสบ
    • 40% ของผู้หญิงเหล่านี้ไม่เป็นสิวในช่วงวัยรุ่น

    • ปฏิบัติตามแนวทางการรักษาอย่างเคร่งครัด

    ผลิตภัณฑ์รักษาสิวไม่ได้เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ ดังนั้นคุณจึงต้องอดทนรอเสียหน่อย  อย่างไรก็ตาม คุณจะเห็นผลค่อนข้างเร็วหากคุณปฏิบัติตามโปรแกรมของคุณทุกวัน คือใช้ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ออกแบบมาเพื่อผิวเป็นสิวง่าย + การรักษาด้วยยา ในตอนเช้าและตอนกลางคืน ขึ้นอยู่กับบุคคลและประเภทของสิว โดยทั่วไปจะสังเกตเห็นผลดีขึ้นอย่างชัดเจนหลังจาก 4 ถึง 6 สัปดาห์

    • หลีกเลี่ยงแสงแดด

    จริงอยู่ที่การอาบแดดให้ผิวสีแทนอาจทำให้จุดสิวของคุณแห้งและเห็นสิวอักเสบได้ไม่ชัด ทำให้ผิวของคุณดูใสและเรียบเนียนขึ้น  แต่มันจะทำให้สิวอักเสบ(หรือ สิวอุดตัน) แย่ลงกว่าเดิมในภายหลังโดยทำให้ผิวหนังชั้นนอกสุด (horny layer) หนาขึ้นกว่าเดิม ซึ่งจะทำให้เซลล์อุดตันง่ายขึ้นและการคั่งของไขมันจากต่อมใต้ผิวหนัง (sebum) ในท่อขุมขน-ต่อมไขมัน (pilo-sebaceous follicle)  มากขึ้น   การเพิ่มขึ้นของจำนวนสิวอุดตันนี้จะทำให้สิวอักเสบเป็นจุดเห่อขึ้นมาทันทีที่ผิวสีแทนจางลงอย่างเลี่ยงไม่ได้   เพื่อเลี่ยงผลกระทบแบบย้อนกลับและกันไม่ให้ต้องประหลาดใจจากสิ่งไม่พึงประสงค์เมื่อวันหยุดของคุณสิ้นสุดลง ปกป้องผิวของคุณด้วยครีมกันแดด SPF 30 โดยเฉพาะ  เลือกใช้สเปรย์ที่ไม่เหนียวเหนอะหนะหรือผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อเหลวที่ออกแบบมาเพื่อผิวมันหรือผิวเป็นสิวง่ายโดยเฉพาะ

    • หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสสิวอักเสบบนใบหน้า

    ยิ่งสัมผัสสิวมากเท่าไร ยิ่งทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้นเท่านั้น (ยิ่งเพิ่มจำนวนและขนาดของสิว)   ยิ่งโอกาสที่จุดสิวเหล่านี้จะกลายเป็นตุ่มหนอง (สิวมีหนอง) มากขึ้นเท่าไร ความเสี่ยงที่จะเกิดรอยแผลเป็นก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

    Woman taking medication

    ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่มีฤทธิ์รุนแรงซึ่งจะไม่ทำให้ผิวหนังลอกหรือเปลี่ยนแปลงไขมันในชั้นไขมันและน้ำที่เคลือบบนผิวหนัง (hydrolipidic film)  หรือผิวหนังชั้นนอกสุด (horny layer)   คุณสามารถใช้สครับได้ แต่เฉพาะต่อเมื่อคุณไม่ได้ใช้ยารักษาสิวโดยทั่วไปจะทำให้ผิวลอกอยู่แล้วเท่านั้น  ไมเซล่า วอเตอร์ (micellar water) ใช้ทำความสะอาดผิวมันได้ดีมาก   การล้างเครื่องสำอางหรือทำความสะอาดผิวทุกเย็นเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง แม้ว่าคุณจะไม่ได้แต่งหน้าก็ตาม  สิ่งนี้จะช่วยขจัดสิ่งสกปรก มลภาวะ และสารตกค้างอื่นๆ ที่เกาะอยู่บนผิวมาตลอดทั้งวัน

    Woman with acne-prone skin cleaning her face

    ทาผลิตภัณฑ์ดูแลสิวอักเสบโดยเฉพาะอย่างเบามือ วันละ 1-2 ครั้ง โดยใช้ผลิตภัณฑ์จากกลุ่มผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อผิวมันและเป็นสิวง่ายโดยเฉพาะ  หากคุณกำลังใช้ยาที่แพทย์สั่งจ่าย ให้ใช้ยาเป็นประจำตามคำแนะนำ  หากคุณกำลังใช้ยารักษาสิวรูปแบบทาเฉพาะที่หรือรูปแบบรับประทานที่ทำให้ผิวของคุณแห้ง คุณควรทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะกับผิวผสมหรือผิวมันเสริมเป็นประจำทุกวันเพื่อให้ผิวและริมฝีปากของคุณชุ่มชื้น  ผลิตภัณฑ์แก้ปัญหาเฉพาะจุดที่ไม่ก่อให้เกิดสิวอุดตัน (Non-comedogenic correctors) บีบีครีม และรองพื้นสามารถช่วยปกปิดความไม่สมบูรณ์บนใบหน้าได้

    Woman with acne-prone skin looking in a mirror