สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) ตุ่มนูน บวมแดง ทำให้ยิ่งเห็นชัดบนใบหน้า จนผู้ที่เผชิญกับปัญหาสิวอักเสบดังกล่าว รู้สึกเสียความมั่นใจไปได้ เท่านั้นยังไม่พอแม้สิวอักเสบจะจากไปแล้ว แต่กลับยังทิ้งปัญหารอยสิวไว้เป็นร่องรอยบนผิวหน้าให้หนักใจอีก

ดังนั้นเพื่อรักษาสิว ขจัดปัญหาสิวอักเสบนี้ไปตั้งแต่ต้นตอ Bioderma จึงขนเคล็ดลับ 10 วิธีรักษาสิวอักเสบมาอย่างเต็มพิกัด เท่านั้นไม่พอยังจะมาบอกทุกสาเหตุสิวอักเสบเกิดจากอะไร และทุกเรื่องเกี่ยวกับสิวอักเสบ เพื่อจะตอบทุกปัญหาข้อข้องใจเกี่ยวกับสิวอักเสบ ให้คุณโบกมือลาปัญหาสิวอักเสบให้ห่างไกลผิวหน้าได้อย่างทันใจ

 

สารบัญบทความ

สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) คือ หนึ่งในปัญหาผิวที่จะเกิดตุ่มสิวที่นูนขึ้นมา สิวอักเสบมีลักษณะเป็นตุ่มแดงเป็นก้อน สิวอักเสบมักจะเกิดจากสิวชนิดอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป ที่ได้รับปัจจัยกระตุ้นซ้ำ ๆ ทำให้บริเวณดังกล่าวเกิดการระคายเคือง จนความรุนแรงของสิวมีระดับมากขึ้น ผิวในส่วนนี้จึงมีการอักเสบขึ้น ทำให้เมื่อสัมผัสโดนอาจจะรู้สึกเจ็บปวดได้

สิวอักเสบนั้นสามารถพบได้หลายลักษณะ อาจจะเป็นชนิดที่เป็นสิวอักเสบมีหัวสิว หรือสิวอักเสบไม่มีหัวสิวก็ได้ ซึ่งหากเป็นสิวอักเสบชนิดมีหัว จะมีลักษณะของหนองอยู่ใต้ผิวหนังนั่นเอง สิวอักเสบสามารถรักษาได้หลายวิธี แต่อาจจะเลี่ยงการกด แกะ แคะ เกา เพราะอาจจะทำให้สิวลุกลามแทน

อ่านบทความเกี่ยวชนิดของสิวเพิ่มเติม : สิวหัวหนอง

รักษาสิวอักเสบ

สิวอักเสบเกิดจากสาเหตุใด

สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) เกิดจากสิวหลากหลายชนิดอย่าง สิวอุดตัน (Comedones) ที่เกิดจากสิ่งสกปรก น้ำมันส่วนเกิน (Sebum) รวมตัวกันเกิดเป็นสิว แต่ในเวลาต่อมา หากสิวชนิดนี้ยังไม่ยุบตัวแล้วเกิดการกระตุ้นจากสิ่งแปลกปลอม ที่มีเชื้อแบคทีเรียชนิด C.acnes ปะปนอยู่ โดยภายใน C.acnes มีเอมไซม์ Lipase ย่อยไขมันจนเกิดเป็นกรดไขมัน (Free Fatty Acid) ออกมาสู่ภายนอกผิวหนัง และมีการหลั่ง Protease Cytrokines กระตุ้นให้เกิดการอักเสบขึ้นนั่นเอง 

โดยสาเหตุสิวอักเสบที่ทำให้เกิดเชื้อแบคทีเรียมากระตุ้นให้อักเสบ มีดังนี้

  • ฮอร์โมนการหลั่งฮอร์โมนที่ไม่สมดุล เป็นส่วนกระตุ้นให้เกิดการอักเสบภายในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศชาย (Androgens)
  • พันธุกรรมกรรมพันธุ์ผิวแพ้ง่ายถูกส่งต่อมาภายในครอบครัวได้ ทำให้ง่ายต่อการกระตุ้นให้อักเสบ
  • ไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตเช่น การรับประทานอาหารทอด ไขมันสูง พักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด กระตุ้นให้ผิวเกิดการอักเสบได้นั่นเอง
  • สภาพแวดล้อมฝุ่น ควัน มลพิษ เป็นส่วนกระตุ้นให้ผิวสกปรก และทำให้ผิวระคายเคืองอักเสบ
  • การสัมผัสใบหน้าการแคะ แกะ เกา กด บีบสิวอักเสบแบบไม่ถูกวิธี จะทำให้ผิวบริเวณนั้นได้รับบาดเจ็บ เกิดการอักเสบขึ้นมาได้
  • ยาบางประเภทอย่าง Anabolic Steroids Corticosteroids Corticotropin Phenytoin Lithium Isoniazid Vitamin B6 และ B12 อาจมีผลข้างเคียง ทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้

รู้วิธีกดสิวที่ถูกต้องได้ที่ : กดสิว

สิวอักเสบตุ่มแดงนี้สามารถเกิดได้ทุกบริเวณทั่วทั้งร่างกาย เพราะต่อมไขมันที่ก่อให้เกิดการอักเสบของสิวนั้นมีอยู่ทุกจุดในร่างกาย ทำให้สิวในทุกจุดระคายเคืองเป็นสิวอักเสบในวันต่อมาได้ โดยบริเวณที่มักจะพบสิวอักเสบบ่อย ๆ ได้ เช่น

สิวที่คางเป็นผิวบริเวณที่เป็นสิวอักเสบได้ง่ายอันดับต้น ๆ เพราะในยุคปัจจุบันที่ทุกคนจำเป็นต้องใส่หน้ากากอนามัยเป็นประจำ ทำให้ผิวเป็นสิวได้รับการเสียดสีเป็นประจำ นำไปสู่ปัญหาสิวอักเสบในที่สุด

สิวอักเสบไม่มีหัว

บริเวณหน้าผากก็เป็นอีกหนึ่งบริเวณที่ทำให้เกิดสิวที่หน้าผากเป็นประจำ เนื่องจากสิวอักเสบบริเวณหน้าผาก จะถูกกระตุ้นจากเส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้า รวมถึงสิ่งสกปรก คราบเหงื่อ และแบคทีเรียตาม ๆ จะตกลงมาหมักหมมที่บริเวณนี้

สิวอักเสบไม่มีหัว

บริเวณจมูกเป็นอีกหนึ่งบริเวณที่มักจะพบสิวได้บ่อย ไม่เพียงแค่สิวอักเสบเท่านั้น แต่สิวอีกหนึ่งชนิดที่มักพบได้บ่อยก็คือสิวเสี้ยนนั่นเอง เพราะอวัยวะในบริเวณนี้ยื่นออกมา ทำให้เสียดสีกับสิ่งต่าง ๆ ทั้งแมสก์ มือ หมอน จนเกิดการระคายเคืองได้ง่าย

สิวอักเสบไม่มีหัว

สิวอุดตันมีหัว สิวอุดตันไม่มีหัวบริเวณแก้ม เป็นจุดที่ได้รับการสัมผัสบ่อย ๆ จากทั้งมือ และแมสก์ ทำให้สิ่งสกปรกต่าง ๆ มาสะสมอยู่ที่บริเวณใบหน้า ทำให้สิวอุดตันเหล่านี้เกิดการอักเสบกลายเป็นสิวอักเสบได้

สิวอักเสบไม่มีหัว

บริเวณหนึ่งในร่างกายที่เกิดสิวต่าง ๆ ได้ง่าย เพราะการเสียดสี และอับชื้นภายใต้ร่มผ้าก็คือ บริเวณแผ่นหลังของเรานั่นเอง ความอับชื้นจากคราบเหงื่อ สิ่งสกปรกต่าง ๆ ยิ่งทำให้สิวที่หลังถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบขึ้นได้

หากอยากทราบว่าสิวแต่ละตำแหน่งบอกอะไรคุณได้บ้าง ? : ตำแหน่งสิว

สิวอักเสบไม่มีหัว

สิวอักเสบบวมแดงเหล่านี้มีลักษณะที่แตกต่างกันไปหลากหลายรูปแบบ ทำให้การรักษาสิวอักเสบชนิดต่าง ๆ นี้ก็มีขั้นตอนวิธีการรักษาสิวอักเสบนี้แตกต่างกันไป ดังนั้นก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับลักษณะของสิวต่าง ๆ กันก่อน เพื่อที่จะได้หาวิธีรักษาสิวอักเสบที่เหมาะสมได้อย่างตรงจุด

เม็ดสิวขนาดเล็ก มีขนาดไม่ใหญ่เกิน 1 เซนติเมตร มีลักษณะเป็นตุ่มนูน สีแดง มักเกิดร่วมกับผื่นแพ้ พบได้ทั้งสิวอักเสบบวมแดงไม่มีหัว และชนิดมีหัว

สิวอุดตันไม่มีหัว

สิวหัวหนองสีเหลือง หรือสีขาว คือ สิวตุ่มนูนที่มีของเหลวหนองบรรจุอยู่ภายใน จึงจัดว่าเป็นสิวประเภทที่มีระดับการอักเสบรุนแรงมากกว่าสิวชนิดตุ่มแดง ทำให้มักมีอาการปวดร่วมด้วย

สิวอุดตันไม่มีหัว

สิวอักเสบแดงเป็นก้อนใหญ่ ๆ เป็นสิวอักเสบใต้ผิวหนัง ที่มีหนอง และเลือดปะปนกันอยู่ เนื่องจากมีขนาดเม็ดสิวที่ใหญ่ทำให้อาจจะมีอาการเจ็บปวดร่วมด้วย หากมีการกดสิวก็อาจจะทิ้งรอยสิวเอาไว้ได้เช่นกัน

สิวอุดตันไม่มีหัว

สิวซีสต์เป็นสิวอักเสบชนิดที่มีความรุนแรงถึงผิวหนังระดับชั้นกลาง หรือลึกไปจนถึงผิวชั้นหนังแท้ พบได้ทั้งเม็ดสิวขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ โดยมีลักษณะเป็นสิวอักเสบหัวแข็ง ก้อนนูน มีหนองอยู่ภายในก้อนสิว

สิวอุดตันไม่มีหัว

สิวหัวช้างเป็นหนึ่งในสิวอักเสบชนิดรุนแรง มีขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นก้อน ตุ่ม นูนแดง หัวสิวแข็ง ภายในของสิวชนิดนี้ปะปนไปด้วยเลือด และหนอง ทำให้การสิวหัวช้างรักษาอาจจะต้องรับประทานยาแก้อักเสบร่วมด้วย

สิวอุดตันไม่มีหัว

ระดับความรุนแรงของสิวอักเสบ

สิวอักเสบนั่นไม่เพียงแค่ลักษณะของสิวเท่านั้น แต่ระดับความรุนแรงของการอักเสบก็มีผลต่อการพิจารณาขั้นตอนการรักษาสิวอักเสบด้วยเช่นกัน โดยแบ่งระดับความรุนแรงของสิวอักเสบได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้

  • สิวอักเสบระดับไม่รุนแรงมีปริมาณสิวเล็กน้อย และมีอาการอักเสบของสิวเพียงไม่กี่เม็ดเท่านั้น
  • สิวอักเสบระดับปานกลางในบริเวณรอบ ๆ มีสิวที่อักเสบรวม ๆ แล้ว ประมาณไม่เกิน 10 จุด อาจจะมีสิวหนองปะปนรวมด้วย
  • สิวอักเสบระดับรุนแรงสิวอักเสบที่สะสมไว้เป็นระยะเวลานานแล้ว เป็นก้อนแข็งขนาดใหญ่ มีเลือด และหนองปะปนอยู่ภายในตัวสิวมาก ทำให้มีการอักเสบระดับรุนแรง ทำให้อาจจะเกิดรอยช้ำร่วมด้วย

10 วิธีรักษาสิวอักเสบ พร้อมเคล็ดลับการป้องกันการอักเสบ

หลังจากที่เราทำความรู้จักกับสิวอักเสบกันมาพอสมควรแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะมาจดทุกเคล็ดลับ 10 วิธีรักษาสิวอักเสบ เรียกผิวสวยให้คืนกลับมากัน มีทั้งวิธีง่าย ๆ ที่เราสามารถรักษาสิวอักเสบด้วยตัวเองได้ และวิธีที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ทางการแพทย์เข้ามารักษาด้วย

1. การใช้ยาทารักษาสิวอักเสบ

เริ่มต้นด้วยวิธีแรก วิธีทายาที่สิวอักเสบเป็นหนึ่งในวิธีที่เราสามารถรักษาสิวอักเสบด้วยตัวเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังจำเป็นที่ยังต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผิวหนัง และเภสัชกรเสียก่อน เพื่อความปลอดภัยของผิว ไม่ให้ได้รับผลข้างเคียงอันตราย ในกรณีที่ใช้ยาทาสิวอักเสบในปริมาณที่เกินขนาด หรือที่มีความเข้มข้นมากจนเกินไป

ยาทาสิวอักเสบที่แนะนำ แบ่งตามความรุนแรงของการอักเสบได้ ดังนี้

  • สิวอักเสบระดับไม่รุนแรงสามารถใช้ยาทาเฉพาะจุดได้ แต่อยู่ในปริมาณการควบคุมตามคำแนะนำของแพทย์ผิวหนัง เภสัชกร และฉลากยา เช่น 
    • Benzoyl peroxide
    • Topical retinoids
  • Clindamycin 
  • สิวอักเสบระดับปานกลางนอกจากตัวยาชนิดทาสิวอักเสบที่เกริ่นไปแล้วข้างต้น อาจจะจำเป็นต้องใช้การรับประทานยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ตามคำแนะนำของแพทย์ และเภสัชกร เช่น
    •  Tetracycline
    • Erythromycin
  • สิวอักเสบระดับรุนแรงนอกจากการทายาสิวอักเสบ การรับประทานยา อาจจะต้องอาศัยการฉีดยาสิวอักเสบร่วมด้วยตามคำแนะนำของแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ
สิวอักเสบที่คาง

2. การรับประทานยาเพื่อรักษาสิวอักเสบ

ขั้นตอนการรักษาสิวที่ดีด้วยตนเอง : รักษาสิวด้วยตนเอง

สิวอักเสบรักษา

3. การใช้การฉายแสงลดสิวอักเสบ

วิธีการที่นำนวัตกรรมทางการแพทย์เข้ามาร่วมในการรักษา สามารถช่วยลดการอักเสบของสิวอักเสบลงไปได้ โดยใช้คลื่นแสงยิงลงไปบนผิว แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้

  • แสงสีฟ้าแสงชนิดนี้จะเข้าไปช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย C.acnes ที่ทำให้ผิวเกิดการอักเสบ พร้อมทั้งช่วยลดการผลิตความมันส่วนเกินต้นเหตุการเกิดสิวบนผิวได้
  • แสงสีแดงแสงชนิดนี้จะช่วยลดการอักเสบของต่อมไขมัน ทำให้ต่อมไขมันมีขนาดเล็กลง ทำให้หน้ามันลดลง ลดการเกิดสิวอักเสบ พร้อมทั้งช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือด และการสร้างคอลลาเจน (Collagen) ในโครงสร้างผิวให้แข็งแรง

อ่านเกร็ดความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผิวที่มีน้ำมันส่วนเกินมาก : หน้ามัน

สิวหัวช้างไม่มีหัว

4. การใช้ความเย็นรักษาสิวอักเสบ (Cryotherapy) 

อีกหนึ่งอุปกรณ์เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่สามารถช่วยลดการอักเสบของผิวลงไปได้ ด้วยการใช้ความเย็นจากไนโตรเจนเหลว เข้ามาบำบัดผิว ช่วยลดการปวด บาดเจ็บของผิว ลดการอักเสบของผิว ทำให้หลอดเลือดหดตัว ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดได้ดี ผิวที่อักเสบ และบวมจะค่อย ๆ ดีขึ้น

วิธีรักษาสิวอักเสบ

5. การฉีดยารักษาสิวอักเสบ

การฉีดยาสิวอักเสบช่วยลดการอักเสบของสิวบริเวณที่ฉีดไปได้ ทำให้สิวยุบตัวได้เร็วขึ้น ลดอาการเจ็บปวดจากเม็ดสิวลงไป โดยยาที่นิยมใช้ในการฉีดยารักษาสิวอักเสบ มักเป็นชนิดยาสเตียรอยด์ (Steroid) ตัวยาที่นิยมเป็น ยาไตรแอมซิโนโลน (Triamcinolone) โดยแพทย์จะพิจารณาปริมาณและความเข้มข้นตามความเหมาะสม โดยมักจะใช้ในปริมาณน้อย ๆ ความเข้มข้นต่ำ ๆ เพื่อไม่ให้เกิดรอยบุ๋มลงไปในบริเวณที่ฉีด

ฉีดยาสิวอักเสบ

6. หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า

เห็นได้ชัดเลยว่ามือเป็นอวัยวะที่เราจำเป็นต้องใช้สัมผัสหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตประจำวัน ทำให้เป็นอวัยวะที่เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียชั้นดี ดังนั้นการใช้มือสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ ทั้งจากอิริยาบถในชีวิตประจำวัน รวมถึงการแคะ แกะ เกาสิว ยิ่งทำให้สิวได้รับการระคายเคืองจนอักเสบได้ ทางที่ดีการเลี่ยงพฤติกรรมนี้จะส่งผลดีต่อสิวมากที่สุด

สิวหัวช้างรักษา

7. ดูแลรักษาหน้าให้สะอาด 

หากใครที่เป็นสิวอักเสบอยากหาวิธีง่าย ๆ ที่สามารถรักษาเองตามธรรมชาติได้ ก็คงหนีไม่พ้นวิธีการทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดหมดจด แน่นอนว่าการทำความสะอาดผิวแม้จะเป็นวิธีง่าย ๆ ที่เราทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่เชื่อเลยว่าหาย ๆ คนก็ยังละเลย และทำความสะอาดผิวหน้าได้ไม่สะอาดหมดจด และถูกวิธี ซึ่งจะเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การเกิดสิวอักเสบได้ เท่านั้นยังไม่พอการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่อ่อนโยน และมีส่วนผสมในการช่วยลดสาเหตุการเกิดสิวอักเสบก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีนั่นเอง

สิวเม็ดใหญ่ไม่มีหัว

8. พักผ่อนให้เพียงพอ

อีกหนึ่งพฤติกรรมประจำวันที่หากใครปรับเปลี่ยนได้จะส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายโดยรวมแน่นอน ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของสุขภาพผิวเท่านั้น ดังนั้นการนอนหลับสนิทให้เพียงพอครบ 7 - 8 ชั่วโมง ตั้งแต่หัวค่ำ 4 - 5 ทุ่ม ร่างกายจะเกิดกระบวนการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ส่วนผิวเองก็จะเกิดกระบวนการซ่อมแซมตัวเองด้วยเช่นกัน ทำให้การอักเสบของผิวลดลง

สิวอักเสบแดงเป็นก้อน

9. ลดความเครียด 

ความเครียดส่งผลให้การอักเสบของสิวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากความเครียดส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นต่อการเกิดสิว รวมถึงความเครียดยังส่งผลทางอ้อมให้เกิดการจับและสัมผัสที่สิว ทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรีย และเกิดการอักเสบของสิวอักเสบมากยิ่งขึ้น

สิวอักเสบหัวแข็ง

10. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ 

การรับประทานอาหารที่ไม่ดีนั้นส่งผลให้ฮอร์โมนในร่างกายเกิดความไม่สมดุล กระตุ้นให้ผิวเกิดการอักเสบได้ง่าย ดังนั้นการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สารอาหารเหล่านี้จะเข้าไปช่วยปรับสมดุลผิวในร่างกายให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยอาหารที่มีผลในการช่วยลดสิวอักเสบ ได้แก่ แซลมอน อะโวคาโด ไข่ กระเทียม ชาเขียว อัลมอนด์ แครอท ทับทิม เป็นต้น

รักษาสิวอักเสบด้วยตัวเอง

การใช้ยารักษาสิวอักเสบ

เพื่อผลลัพธ์ในการรักษาสิวอักเสบที่ได้ผลเร็วมากยิ่งขึ้น การใช้ยารักษาสิวอักเสบเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เห็นผลลัพธ์ได้ดี เพราะยาเหล่านี้ทั้งประเภทกิน และประเภททา มีคุณสมบัติในการช่วยลดการอักเสบของผิวได้อย่างดี ว่าแล้วมีตัวยาอะไรกันบ้างไปดูกัน

ยาลดสิวอักเสบชนิดทา ได้แก่

  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide หรือ BPO)ยาชนิดทาที่มีคุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของการเกิดสิวอักเสบ และช่วยลดความมันส่วนเกินบนใบหน้าที่เป็นสาเหตุของสิวอักเสบเช่นกัน
  • คลินดามัยซิน (Clindamycin)ยาในกลุ่มยาปฏิชีวนะชนิดทา เป็นตัวช่วยรักษาสิวอักเสบได้ดี เพราะมีสรรพคุณต้านแบคทีเรีย C.acnes และช่วยลดการอักเสบของสิวอักเสบ
  • ยาทาในกลุ่มเรตินอยด์ (Topical retinoids)อนุพันธ์วิตามิน เอ มีฤทธิ์ในการผลัดเซลล์ผิวเก่า และเร่งการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้หัวสิวหนองหลุดออกไปได้ และยังมีส่วนช่วยในการลดการอักเสบ และความมันบนใบหน้าอีกด้วย
  • ยาทากรดอะซีลาอิก (Azelaic acid)หนึ่งในตัวยาช่วยรักษาสิวอักเสบชนิดทา มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ และช่วยละลายหัวสิวให้หลุดลอกออกมาได้

 

ยาลดสิวอักเสบชนิดรับประทาน ได้แก่

  • ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน (Oral antibiotics)เมื่อรับประทานไปแล้ว ตัวยามีคุณสมบัติในการช่วยทำลายแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว ยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียยาคุมกำเนิดยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นตัวยาที่บรรจุฮอร์โมนเพศหญิงเอาไว้ เมื่อรับประทานเขาไปจะมีส่วนเข้าไปช่วยลดการหลั่งของฮอร์โมนเพศชายที่เป็นตัวกระตุ้นในการผลิตน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้า
  • ไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin)ยาชนิดรับประทานอนุพันธ์ของวิตามินเอ มีฤทธิ์ในการกดการทำงานของต่อมไขมันที่ผลิตไขมัน และช่วยลดปริมาณเชื้อสิว และการอักเสบบวมแดงของสิว

หัวใจหลักในการดูแลผิวที่เป็นสิวอักเสบเลยนั้นก็คือ การปลอบประโลมผิว ให้บรรเทาอาการอักเสบของผิวในบริเวณเป็นสิวให้ลดลงไปมากที่สุด โดยมีรายละเอียดอยู่หลากหลายวิธี เช่น

  • การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีความอ่อนโยน
  • การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีความอ่อนโยน และมีส่วนผสมในการช่วยลดอาการอักเสบของผิว
  • ประคบความเย็นบ้าง เพื่อช่วยลดอาการปวด บวมแดงของสิวอักเสบ
  • ใช้น้ำมันทีทรีออยล์ (Tea tree oil) ทาบริเวณสิวอักเสบช่วยลดการอักเสบลง
  • ดื่มชาเขียวร้อน เพื่อช่วยลดการอักเสบของผิว

ควรเลี่ยงที่จะกด หรือบีบสิวอักเสบด้วยตนเอง เพราะสิวอักเสบเป็นสิวที่บวม แดงมากอยู่แล้ว หากกดสิวไม่ถูกวิธีอาจจะทำให้เกิดรอยช้ำ หรือยิ่งทำให้ผิวเป็นสิวอักเสบบริเวณนี้ลุกลามมากยิ่งขึ้น จึงแนะนำว่าให้เข้ารับการรักษาจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านผิวหนังจะดีเสียกว่า

แท้จริงแล้วสิวทุกชนิดสามารถหายเองได้ แต่สิวประเภทสิวอักเสบนั้นใช้เวลานานในการที่ผิวจะซ่อมแซมในส่วนนี้จนผิวหายดีสนิท การที่ยิ่งทิ้งสิวอักเสบเอาไว้นาน ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดปัญหารอยสิว และหลุมสิวทิ้งเอาไว้บนผิว

โดยทั่วไปแล้วสิวอักเสบจะใช้เวลาในการหายได้เอง ประมาณ 4 - 6 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย ผู้ที่เผชิญกับปัญหาสิวอักเสบจึงจำเป็นต้องใช้ความอดทนต่อระยะเวลามากในการรักษา

แม้จะยังไม่มีหลักฐานยืนยันอย่างแท้จริงว่า แอลกอฮอล์มีส่วนทำให้สิวเห่อมากยิ่งขึ้น แต่แอลกอฮอล์ก็ส่งผลต่อสุขภาพผิวอยู่ไม่น้อย เพราะว่าแอลกอฮอล์จะส่งผลให้หลอดเลือดใต้ผิวหนังขยาย ทำให้ผิวแห้ง เสียสมดุล จึงมีความเสี่ยงที่จะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองง่ายต่อการอักเสบได้

ข้อสรุป

ปัญหาสิวอักเสบนั้นมีตั้งแต่ระดับของรุนแรงน้อย ไปจนถึงมาก ทำให้เหมาะกับการวิธีดูแลรักษาสิวอักเสบที่แตกต่างกันไป ทั้งวิธีที่สามารถรักษาสิวอักเสบได้ด้วยตัวเอง การรับประทานยารักษาสิวอักเสบ ไปจนถึงการรักษาที่อาจจะต้องอาศัยหัตถการจากแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมด้วย เพื่อผลลัพธ์ในการรักษาที่ได้ประสิทธิภาพและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพราะหากถ้าทิ้งปัญหาสิวอักเสบเอาไว้นาน อาจจะทำให้เกิดปัญหารอยสิว และหลุมสิวตามมาได้อีกนั่นเอง

Reference

NHS (3 Jan 2023).acne diagnosis. NHS. https://www.nhs.uk/conditions/acne/diagnosis/#:~:text=The%20severity%20of%20acne%20is,might%20also%20have%20some%20 scarring