วิธีการดูแลผิว
รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) คืออะไร ประโยชน์และโทษต่อร่างกาย
รังสีอัลตราไวโอเลต หรือ รังสี uv คือ รังสีธรรมชาติที่มีแหล่งกำเนิดส่วนใหญ่มาจากดวงอาทิตย์ ประกอบด้วย uva uvb และ uvc บทความนี้เราจะทำให้คุณรู้จักรังสี uv มากขึ้น
วิธีการดูแลผิว
รังสีอัลตราไวโอเลต หรือ รังสี uv คือ รังสีธรรมชาติที่มีแหล่งกำเนิดส่วนใหญ่มาจากดวงอาทิตย์ ประกอบด้วย uva uvb และ uvc บทความนี้เราจะทำให้คุณรู้จักรังสี uv มากขึ้น
รังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet Radiation : UV) เป็นรังสีที่มาพร้อมกับ แสงแดด ในชีวิตประจำวัน หลายๆคนมีความเชื่อว่า เป็นรังสีที่อันตรายต่อชั้นผิวหนัง และควรหลีกเลี่ยงอย่างมาก ซึ่งจะเป็นอย่างนั้นจริงหรือ?
รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) คือ รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีความยาวคลื่นในช่วง 100 - 400 นาโนเมตร ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เนื่องจากช่วงความยาวคลื่นไม่ถึงช่วง Visible Light ที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ จึงทำให้รังสีอัลตราไวโอเลต มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า รังสีเหนือม่วง นั่นเอง
ดังนั้น บทความนี้ จึงจะมาไขข้อเท็จจริงให้กระจ่างว่า ความจริงแล้ว อัลตราไวโอแลต คืออะไร มาจากที่ไหน และมีประโยชน์ หรือ ผลกระทบอะไรบ้าง ไปชมได้พร้อมๆกันที่นี่
แสงอัลตราไวโอเลต หรือ รังสี uv คือ รังสีธรรมชาติที่มีแหล่งกำเนิดส่วนใหญ่มาจากดวงอาทิตย์เป็นหลัก แต่ถึงอย่างนั้น มนุษย์ก็ยังสามารถสร้างรังสีนี้ขึ้นเองได้ เช่น จากการทำให้วัตถุนั้นๆ มีอุณหภูมิสูงขึ้น จนมากกว่า 2,500 องศาเคลวิน ก็จะสามารถปล่อยรังสีไวโอเลตออกมาได้
คลื่นอัลตราไวโอเลต แยกออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ UVA UVB คือ รังสีที่เรามักจะพบได้ในชีวิตประจำวัน ส่วน UVC จะเป็นรังสีอันตรายที่ถูกกั้นเอาไว้ในชั้นบรรยากาศ เราจึงไม่ได้สัมผัสกับรังสีนี้ในชีวิตประจำวัน โดยรังสีแต่ละชนิด มีลักษณะที่แตกต่างกัน ดังนี้
รังสี UVA (Long wave UVR หรือ Black light) ความยาวคลื่นรังสีอัลตราไวโอเลต ชนิด UVA จะอยู่ที่ประมาณ 300 - 400 นาโนเมตร พบในแสงแดดได้ ประมาณ 75% สามารถทะลุลงไปยังภายในชั้นผิวหนัง ทำลายสารองค์ประกอบที่สำคัญ จนส่งผลกระทบให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย ผิวหนังเหี่ยวย่น เกิดจุดด่างดำ ฝ้ากระ และทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังขึ้นอีกด้วย
รังสี UVB (Middle UVR หรือ Sunburn radiation) ความยาวคลื่นจะอยู่ที่ประมาณ 290 - 320 นาโนเมตร พบได้ 18% ของแสงแดดที่ส่องลงมายังพื้นโลก ทำให้รังสีชนิดนี้ มีอำนาจในการทะลุเข้าสู่ชั้นผิวหนังกำพร้าและผิวหนังแท้ชั้นบน ส่งผลให้เกิดอาการผิวไหม้แดด แสบร้อน เกิดการระคายเคืองผิว และไวต่อแสงมากขึ้น เป็นต้น
รังสีอัลตราไวโอเลต ชนิด UVC (Short wave UVR หรือ Germicidal radiation) จะมีความยาวคลื่นประมาณ 200 - 290 นาโนเมตร ซึ่งเป็นรังสีคลื่นสั้นที่มักจะถูกดูดซับในชั้นบรรยากาศโอโซนไปทั้งหมด จึงทำให้ไม่มีรังสี UVC ส่องลงมายังพื้นโลกได้
ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะยังไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แต่ถ้าหากชั้นบรรยากาศไม่สามารถดูดซับรังสีชนิดนี้ไว้ได้ทั้งหมด ก็จะทำให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังเป็นอย่างมาก และอาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย
จากข้อมูลข้างต้น จะทำให้เราพอรู้แหล่งกำเนิด หรือลักษณะรังสีอัลตราไวโอเลตแต่ละชนิดไปแล้ว ในตอนนี้เราจะมาสังเกตพฤติกรรมของตนเองกันดูว่า มีพฤติกรรมอะไรบ้างที่อาจทำให้เราเสี่ยงต่อการเผชิญหน้ากับรังสียูวีเหล่านี้มากเกินไปโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งพฤติกรรมที่เข้าข่ายมีลักษณะดังนี้
ถึงแม้ว่ารังสีอัลตราไวโอเลต จะเป็นรังสีที่ทุกๆคนมักจะหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญ และดูเหมือนว่าก็สามารถทำร้ายผิวของเราได้ แต่ในอีกมุมหนึ่งที่น้อยคนจะกล่าวถึง คือ ความเป็นจริงแล้ว รังสีอัลตราไวโอเลต ก็ยังมีประโยชน์อยู่เช่นกัน โดยหากได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตในปริมาณที่เหมาะสม ก็จะทำให้มีประโยชน์ ดังนี้
อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่า รังสีอัลตราไวโอเลตอาจทำให้เกิดผลกระทบต่างๆขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น…
ก่อนที่ผิวจะโดนทำร้ายไปมากกว่านี้ ทาง Bioderma ขอแนะนำวิธีการป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตฉบับง่ายๆ มาฝากทุกๆคนกัน ได้แก่…
แต่สิ่งที่จะเป็นตัวช่วยในการปกป้องผิวได้ดีที่สุด ไม่ให้เกิด ฝ้ากระจุดด่างดำ คือ การใช้ครีมกันแดดที่สามารถป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB อย่างเป็นประจำ เพราะรังสีอัลตราไวโอเลต คุณสมบัติของแต่ละชนิดแตกต่างกัน จึงทำให้จำเป็นต้องเลือกครีมกันแดดที่มีค่า spf กับ ค่า pa อย่างเหมาะสม
โดยค่า Spf คือ ค่าที่บ่งบอกถึงระดับความสามารถในการป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต ชนิดยูวีบี(UVB) ไม่ให้เข้ามาทำให้ผิวไหม้แดด ระคายเคือง หรือเกิดรอยแดงได้ ส่วน pa คือ ค่าที่ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต ชนิดยูวีเอ(UVA) ไม่ให้ผิวเกิดการเหี่ยวย่น จุดด่างดำ ฝ้า กระ ริ้วรอยต่างๆ รวมไปจนถึงลดโอกาสเกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย
รังสีอัลตราไวโอเลต เป็นรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มนุษย์อย่างเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ UVA UVB และ UVC ซึ่งแต่ละชนิดของรังสีอัลตราไวโอเลต คุณสมบัติแตกต่างกัน เราจึงจำเป็นต้องเลือกใช้ครีมกันแดดที่สามารถปกป้องได้อย่างครอบคลุม เพื่อไม่ให้ผิวถูกทำลายจนมีสภาพที่อ่อนแอ ไม่แข็งแรง
หากคุณกำลังตามหาครีมกันแดดที่สามารถปกป้องผิวของคุณจากรังสี UVA และ UVB ได้อย่างครบถ้วน และไม่ตกค้างสะสมหรือเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมแล้วหล่ะก็ ทาง Bioderma ขอเสนอครีมกันแดด Photoderm Aquafluide และครีมกันแดด Photoderm Cover Touch
Bioderma Photoderm Aquafluide SPF50+ PA ++++ ครีมกันแดดสูตรน้ำนม ที่ไม่มีส่วนผสมของสารพาราเบน น้ำหอม เหมาะสำหรับ ผิวแพ้ง่าย สามารถกันเหงื่อได้ดี ปกป้องคุณจากรังสีได้อย่างยาวนานถึง 8 ชั่วโมง ผ่านการทดสอบแล้วว่า มีความอ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง และไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อมในท้องทะเล
Bioderma Photoderm Cover Touch SPF50+ PA++++ ครีมกันแดดสีเนื้อ สูตรมิเนอรัล(Mineral) 100% เน้นปกปิด คุมมัน ถึง 8 ชั่วโมง สามารถกันน้ำ กันเหงื่อได้ โดยไม่อุดตันรูขุมขน ลดการเกิดจุดด่างดำและริ้วรอยจากแสงแดด เหมาะกับผิวผสม-ผิวมัน อ่อนโยน ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
ผิวแพ้ง่ายที่ต้องเผชิญกับแสงแดด
คุณกำลังมองหาครีมกันแดดประสิทธิภาพสูงสำหรับผิวของคุณอยู่หรือเปล่า
ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโฟโตเดิร์ม (Photoderm) คือผลิตภัณฑ์กันแดดครบวงจรสำหรับทุกสภาพผิวรวมถึงผิวที่มีความไวต่อแสงแดด โดยมีทั้งผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดสำหรับผิวที่ไวต่อสิ่งกระตุ้นอย่างแสงแดดหรือสารเคมีผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดสำหรับผิวแพ้ง่าย และผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดสำหรับผิวมันถึงผิวเป็นสิวง่ายโดยเฉพาะ