วิธีการดูแลผิว
3 สูตร คลีนซิ่งล้างเครื่องสำอาง (Cleansing) เผยผิวดูกระจ่างใส
คลีนซิ่ง (Cleansing) คือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องสำอาง ครีมกันแดด ซึ่งมีหลายประเภทด้วยกัน โดย Bioderma ได้รวบรวมทุกเรื่องเกี่ยวกับคลีนซิ่งมาแล้วในบทความนี้
วิธีการดูแลผิว
คลีนซิ่ง (Cleansing) คือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องสำอาง ครีมกันแดด ซึ่งมีหลายประเภทด้วยกัน โดย Bioderma ได้รวบรวมทุกเรื่องเกี่ยวกับคลีนซิ่งมาแล้วในบทความนี้
KEY TAKEAWAYS
รวบรวมเนื้อหาความรู้เกี่ยวกับ “คลีนซิ่ง” ไม่ว่าจะเป็น ประโยชน์ของคลีนซิ่ง สาเหตุที่ทุกคนควรใช้คลีนซิ่ง และวิธีเลือกคลีนซิ่ง สรุปทุกอย่างมาไว้ในบทความนี้แล้ว
ใครที่กำลังมองหาคลีนซิ่ง ลังเลว่าจะใช้คลีนซิ่งตัวไหนดี ไว้เช็ดทำความสะอาดผิวหน้ากันอยู่บ้าง ไม่ว่าจะคนที่ทาครีมกันแดดบางๆ คนที่เมคอัพเบาๆ หรือจะคนที่เมคอัพแน่นๆ พร้อมลุย ก็กำลังมองหาตัวช่วยในการทำความสะอาดผิวกันอยู่ทุกคน แต่ก่อนอื่นขอพามาทำความรู้จักกับคลีนซิ่ง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้ากันก่อนว่า คลีนซิ่งแบ่งออกเป็นกี่ประเภท จะใช้คลีนซิ่งอย่างไรให้ได้ประโยชน์ ใช้คลีนซิ่งอย่างไรให้ถูกต้อง และอื่นๆ อีกมากมาย บอกเลยว่าห้ามพลาด ไปดูพร้อมๆ กันเลย
สารบัญบทความ
“คลีนซิ่ง” หรือ “คลีนซิ่งวอเตอร์” เป็นผลิตภัณฑ์ที่มักมีการจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป ซึ่งหลายๆ คนมักคุ้นหูคุ้นตากันอยู่บ่อยๆ แต่อาจไม่ทราบว่าความเป็นจริงแล้ว คลีนซิ่งมีความสำคัญมากกว่าที่เราคิด
คลีนซิ่ง (Cleansing) คือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องสำอางและครีมกันแดดที่มีหลากหลายรูปแบบให้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็น คลีนซิ่งมิลค์ คลีนซิ่งออยล์ คลีนซิ่งวอเตอร์ รวมไปจนถึงมีการพัฒนาสูตรต่างๆ ให้เข้ากับลักษณะสภาพผิวของแต่ละคนที่มีความแตกต่างกัน เช่น คลีนซิ่งผิวเป็นสิวง่าย คลีนซิ่งผิวแพ้ง่าย เป็นต้น
สำหรับคนที่ไม่แต่งหน้าก็ยังควรต้องใช้คลีนซิ่งในขั้นแรกของการทำความสะอาด เพราะในแต่ละวันเราเผชิญกับสิ่งสกปรกและมลภาวะต่างๆ มากมายมาทั้งวัน อีกทั้งยังช่วยขจัดเครื่องสำอางบนใบหน้าได้อีกด้วย จึงทำให้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แต่งหน้าก็ควรใช้คลีนซิ่งเพื่อทำความสะอาดผิวหน้าและดูแลตนเองเช่นกัน
คลีนซิ่งที่ดี ควรมีส่วนผสมดังต่อไปนี้
หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วคลีนซิ่งเช็ดเครื่องสำอางมีความจำเป็นอย่างมาก เพราะการล้างหน้าแบบปกติ อาจไม่เพียงพอต่อการขจัดสิ่งสกปรก มลภาวะต่างๆ ที่เผชิญอยู่ในทุกๆ วัน จึงทำให้คลีนซิ่งเป็นไอเทมที่ทั้งคนที่ชอบแต่งหน้าบ่อยๆ และคนที่ไม่แต่งหน้าเลย ควรจะต้องมี โดยคลีนซิ่ง (Cleansing) นอกจากจะสามารถช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้แล้ว ก็ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย ดังนี้
ในปัจจุบันมีการพัฒนาสูตรคลีนซิ่งใหม่ๆ มากมาย เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ได้กับทุกสภาพผิวที่มีความแตกต่างกัน ดังนั้นหากจะตามหารีวิวคลีนซิ่งยี่ห้อไหนดีที่สุด ควรจะต้องรู้ก่อนว่าเราควรเลือกคลีนซิ่งแบบไหนดีที่เหมาะกับสภาพผิวของเราที่สุด โดยตามทั่วไปจะมีคลีนซิ่งหลากหลายประเภท ดังนี้
คลีนซิ่งวอเตอร์ (Cleansing Water) หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า ไมเซล่าวอเตอร์ คือ คลีนซิ่งแบบน้ำ ที่มีความเบาบาง สบายผิว ทำให้คุณรู้สึกสดชื่นขึ้น ขณะเช็ดทำความสะอาดใบหน้า
ตัวไมเซล่าคลีนซิ่งวอเตอร์จะทำการดูดจับสิ่งสกปรก คราบเมคอัพ น้ำมันส่วนเกิน หรือมลภาวะต่างๆ และนำออกจากผิวโดยไม่ทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้น
ข้อจำกัดของคลีนซิ่งวอเตอร์ คือ สำหรับคราบเมคอัพอย่างหนัก เครื่องสำอางกันน้ำ อาจจำเป็นต้องเช็ดซ้ำ และผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย อาจต้องพิจารณายี่ห้อคลีนซิ่งอ่อนโยนในการใช้งาน
คลีนซิ่งวอเตอร์มีหลายสูตร ซึ่งแต่ละสูตรถูกออกแบบมาให้เหมาะกับสภาพผิวที่แตกต่างกัน เช่น Bioderma Sensibio H2O Cleansing เหมาะกับผิวบอบบาง แพ้ง่าย หรือจะ Bioderma Sebium H2O Cleansing เป็นคลีนซิ่งเหมาะกับหน้ามัน หรือใช้เป็นคลีนซิ่งคนเป็นสิวง่าย กำลังรักษาสิวอยู่ก็ใช้ได้ และสุดท้าย Bioderma Hydrabio H2O Cleansing เหมาะสำหรับผิวขาดน้ำที่ต้องการเติมความชุ่มชื้น
ชวนอ่าน คลีนซิ่งสิว บทความน่ารู้ที่คนเป็นสิวต้องถูกใจ!
คลีนซิ่งออยล์ (Cleansing Oil) เป็นคลีนซิ่งที่มีส่วนประกอบของน้ำมันผสมอยู่ มักนิยมใช้คลีนซิ่งออยล์ในการขจัดคราบเมคอัพฝังลึก ครีมกันแดด หรือสิ่งสกปรกต่างๆ ด้วยการดูดซับสิ่งสกปรกต่างๆ มารวมอยู่กับน้ำมัน อีกทั้งยังทำให้ผิวชุ่มชื้นไม่แห้งตึง และค่อนข้างทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องออกแรงหรือใช้เวลามากจนเกินไป และจะไม่ใช้สำลีในขณะใช้คลีนซิ่งก็ได้
ข้อจำกัด คือ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวมันอยู่แล้ว เนื่องจากน้ำมันอาจมีโอกาสเข้าไปอุดตัน หรือปิดรูขุมขนของเราได้
เหมาะสำหรับคนที่มีสภาพผิวแห้ง เนื่องจากหลังการใช้งานคลีนซิ่งออยล์ จะยังคงหลงเหลือความชุ่มชื้นเอาไว้ที่บริเวณผิวหน้า ทำให้ใบหน้าไม่เกิดการแห้งตึงจนเกิดริ้วรอย และยังเป็นเหมือนการบำรุงไปในตัวอีกด้วย
คลีนซิ่งเจล (Cleansing Gel) เป็นเนื้อเจลสีขุ่นหรือสีใสที่ใช้สำหรับล้างเครื่องสำอาง มีความอ่อนโยนสูง บางเบามาก ใช้งานได้สะดวก มีโมเลกุลใกล้เคียงกับน้ำมันที่อยู่บนผิวหน้า จึงทำให้สามารถจับกับสิ่งสกปรก คราบเมคอัพต่างๆ ได้ดี เมื่อล้างออกด้วยน้ำสะอาด เนื้อเจลจะนำพาสิ่งสกปรกต่างๆ ออกไปจากผิวหน้า แต่ยังคงรักษาความชุ่มชื้นไว้
ข้อจำกัด คือ คลีนซิ่งเจลอาจต้องใช้ระยะเวลาในการทำความสะอาดนาน ไม่เหมาะกับการทำความสะอาดเมคอัพหนักๆ
เหมาะสำหรับคนที่แต่งหน้าไม่เยอะ หรือไม่ค่อยได้แต่งหน้าเลย และผู้ที่สภาพผิวบอบบาง แพ้ง่าย สามารถใช้งานได้
คลีนซิ่งมิลค์ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า คลีนซิ่งน้ำนม จะมีลักษณะเป็นเนื้อสีขาวคล้ายน้ำนม ส่วนใหญ่มาในรูปแบบของโลชั่นบางเบา ให้ความชุ่มชื้นหลังการใช้งานได้ดีมาก ไม่ทำให้รู้สึกตึงผิว ขจัดคราบเมคอัพและสิ่งสกปรกต่างๆ ได้อย่างอ่อนโยน ถือว่าเป็นคลีนซิ่งลดสิวอุดตัน หรือลดสิวผดได้เลย
ข้อจำกัด คือ อาจต้องใช้ทำความสะอาดหลายครั้ง จึงจะทำให้เครื่องสำอางออกจากผิวหน้าอย่างหมดจด และหลังจากการใช้งานจะมีความรู้สึกนุ่มลื่น ชุ่มชื้นทิ้งไว้ ซึ่งอาจทำให้บางคนรู้สึกไม่สบายผิว
เหมาะสำหรับการนำไปใช้เป็นคลีนซิ่งผิวเป็นสิวง่าย หรือคลีนซิ่งลดสิวอุดตัน เนื่องจากส่วนผสมต่างๆ มีความอ่อนโยนมาก สารสกัดส่วนใหญ่มักมาจากธรรมชาติ จึงทำให้ไม่ค่อยมีสารเคมีที่ทำร้ายผิว และผู้ที่มีผิวบอบบาง ระคายเคืองง่าย เป็นสิวบ่อยๆ หรือแม้กระทั่งคนที่มีสภาพผิวแห้ง ผิวผสม ก็สามารถใช้งานได้
ห้ามพลาด! บทความน่ารู้เกี่ยวกับ สิวผด
คลีนซิ่งบาล์ม (Cleansing Balm) จะมีลักษณะเป็นเนื้อบาล์มแข็ง เมื่อมีการสัมผัสกับผิว เนื้อบาล์มแข็งจะละลายเปลี่ยนเป็นแบบน้ำมัน หรือน้ำนม ที่มีความนุ่ม เกลี่ยลงบนผิวหน้าได้อย่างง่ายดาย ช่วยกำจัดสิ่งสกปรกและคราบเมคอัพได้ดีโดยไม่ทำให้คุณสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติบนใบหน้า อีกทั้งคลีนซิ่งบาล์มยังสามารถพกพาได้ง่ายไม่เลอะเทอะ และสามารถนำมานวดคลึงบนใบหน้าเพื่อความผ่อนคลายได้อีกด้วย
ข้อจำกัด คือคลีนซิ่งบาล์ม บางยี่ห้ออาจทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ ไม่สบายผิว หรือบางคนอาจไม่ชอบความรู้สึกหลังจากใช้งาน เพราะคลีนซิ่งบาล์มก็ยังมีความเหมือนกับแบบน้ำมัน หรือแบบน้ำนมอยู่เช่นเดียวกัน
เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว เนื่องจากอ่อนโยนและสามารถให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวได้ ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่ายจึงสามารถใช้งานได้ และเหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบในการเดินทาง เนื่องจากเก็บพกพาได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก
คลีนซิ่งครีม (Cleansing Cream) เป็นคลีนซิ่งที่คนส่วนใหญ่น่าจะพอนึกภาพออก คือจะมีลักษณะเป็นเนื้อครีม ความเข้มข้นขึ้นอยู่กับแต่ละยี่ห้อ มักมีส่วนผสมของ Beeswax กับ Mineral Oil ทำให้หลังใช้งานผิวมีความชุ่มชื้นมาก
ข้อจำกัด คือ ไม่ควรใช้คลีนซิ่งล้างหน้าหรือทำความสะอาดผิวหน้าทุกวัน เนื่องจากอาจก่อให้เกิดการอุดตันผิวได้ และจำเป็นต้องใช้เวลาทำความสะอาดสักระยะหนึ่ง จึงจะสะอาดหมดจด
เหมาะสำหรับผิวแห้ง หรือคนที่มีผิวแห้งมากๆ เนื่องจากในเนื้อครีมมีส่วนผสมสารที่ให้ความชุ่มชื้นสูง อีกทั้งยังเหมาะกับคนที่ต้องแต่งหน้าออกงานหนักๆ อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ควรศึกษาสูตรของแต่ละยี่ห้ออีกครั้งก่อนเลือกซื้อ เพื่อทำให้เหมาะสำหรับผิวของผู้ใช้มากที่สุด
คลีนซิ่งแบบแผ่น (Cleansing Wipe) เป็นคลีนซิ่งที่ทำออกมาในรูปแบบแผ่นคล้ายคลึงกับทิชชู่ สามารถหยิบใช้งานได้ทันที พกพาไปได้ทุกสถานที่ ไม่เลอะเทอะ ทำให้การใช้งานเป็นไปอย่างรวดเร็ว และสามารถเก็บไว้ได้นาน
ข้อจำกัด คือ จำเป็นต้องใช้คลีนซิ่งเช็ดหน้าหลายแผ่นในการเช็ดทำความสะอาดผิวหน้า อาจทำให้ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากร มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และมีโอกาสที่จะเกิดผิวแห้ง ผิวไม่แข็งแรง หรือเกิดสิวต่างๆ ตามมาได้ อีกทั้งในบางยี่ห้อ อาจมีผสมสารกันบูด หรือสารเคมีต่างๆ ได้
สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว เพียงแต่ ผู้ที่ผิวบอบบาง แพ้ง่าย หรือคนที่แพ้แอลกอฮอล์ จำเป็นต้องตรวจเช็คสูตรของยี่ห้อที่ต้องการก่อนเลือกซื้อ หากมีสารใดๆ ที่มีความเสี่ยงให้เกิดการระคายเคือง ควรหลีกเลี่ยงแล้วไปใช้สูตรสำหรับผิวบอบบาง หรือสูตรอ่อนโยนจึงจะดีกว่า
คลีนซิ่งแบบโฟมมีข้อดีคือช่วยลดการใช้สำลี ที่อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง ผิวแห้ง หรือผิวแพ้ได้ และในส่วนของส่วนผสมก็มีความอ่อนโยนต่อผิว เนื้อเนียนนุ่ม ลดการเสียดสีกับผิวหน้า สามารถทำความสะอาดได้ทุกซอกทุกมุม และทุกสภาพผิว โดยคลีนซิ่งควรผ่านการรับรองโดยผู้เชี่ยวชาญ มีคุณสมบัติที่ทำความสะอาดหน้าได้อย่างล้ำลึก และมีส่วนผสมที่ช่วยควบคุมความมันบนใบหน้า ให้ความชุ่มชื้น ฟื้นบำรุงให้ผิวแข็งแรงขึ้นด้วย
Bioderma ขอแนะนำคลีนซิ่ง 3 สูตร สำหรับคนที่กำลังตามหาคลีนซิ่งทำความสะอาดผิวแบบหมดจด พร้อมสร้างผิวสุขภาพดี ดังนี้
คลีนซิ่ง Bioderma Sensibio H2O คลีนซิ่งวอเตอร์ที่มีคุณสมบัติไบโอเมติก ไมเซล่า วอเตอร์ ที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับผิว อ่อนโยน ไม่ทำร้ายปราการผิว ช่วยทำความสะอาดสิ่งสกปรก เครื่องสำอาง ฝุ่นละออง PM2.5 ได้ล้ำลึกถึง 99% ทั้งยังปราศจากแอลกอฮอล์ ไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้าด้วยสารสกัดจากแตงกวา
ด้วยส่วนผสมจาก คอปเปอร์ซัลเฟต (Copper sulfate) และ ซิงค์กลูโคเนต (Zinc gluconate) ทำให้คลีนซิ่ง Bioderma Sebium H2O คลีนซิ่งวอเตอร์ที่ช่วยทำความสะอาดผิวได้หมดอย่างหมดจด สามารถควบคุมเชื้อแบคทีเรีย C.acnes ต้นเหตุการเกิดสิวอักเสบ ช่วยลดปัญหาสิว คุมความมันบนใบหน้า
คลีนซิ่งเช็ดทำความสะอาด Bioderma Hydrabio H2O คลีนซิ่งวอเตอร์ที่มีส่วนผสมของกลีเซอรีนและสารสกัดของเมล็ดแอปเปิล ที่มีส่วนช่วยเสริมการทำงานของ Aquaporins ด้วยสิทธิบัตร Aquagenium™ เฉพาะของ Bioderma ช่วยให้ผิวกักเก็บน้ำได้มากขึ้น คงความสมดุลน้ำในผิว เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหน้าอย่างยั่งยืน
นอกจากการใช้คลีนซิ่งให้ตรงกับสภาพผิวแล้ว การใช้คลีนซิ่งหากมีการใช้อย่างถูกวิธีก็จะยิ่งทำให้ผิวได้รับการทำความสะอาดอย่างหมดจดอีกด้วย แต่คลีนซิ่งมีหลากหลายรูปแบบแล้ววิธีใช้จะเหมือนกันหรือไม่ วิธีใช้คลีนซิ่งที่ถูกต้องเป็นอย่างไรมาดูไปพร้อมกันๆ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายคนทั้งมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มเข้าวงการสกินแคร์หรือแม้กระทั่งคนที่เข้าวงการมาสักพักแล้ว ยังคงสงสัยเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างคลีนซิ่ง คลีนเซอร์ และโทนเนอร์ กันไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะด้วยความคล้ายคลึงในเรื่องการทำความสะอาดจนเกิดความสงสัยว่าทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์นี้ต่างกันอย่างไร Bioderma ไม่ปล่อยให้เรื่องนี้มากวนใจนาน จึงจะมาเผยความแตกต่างระหว่าง คลีนซิ่ง คลีนเซอร์ และโทนเนอร์ ให้ทุกคนได้รู้พร้อมกัน
อย่างที่ได้ทราบไปก่อนหน้าว่า คลีนซิ่ง (Cleansing) เป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องสำอาง ครีมกันแดดให้ออกอย่างหมดจดเป็นขั้นตอนแรกของการทำความสะอาดผิวหน้า ซึ่งคลีนซิ่งมีหลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้ตามความต้องการ และหลากหลายสูตรตามสภาพปัญหาผิวหน้าของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป
ในขณะที่คลีนเซอร์ (Cleanser) คือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่ใช้ควบคู่กับน้ำสะอาด ให้สามารถทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ในรูขุมขนให้สะอาดล้ำลึก ถือเป็นการล้างทำความสะอาดผิวหน้าหลังจากการใช้คลีนซิ่ง ซึ่งหากพูดให้ทุกคนร้องอ๋อว่าคลีนเซอร์คืออะไรแล้วนั้นก็ต้องบอกว่าคลีนเซอร์ก็จะเป็นเจลล้างหน้า โฟมล้างหน้า สบู่เหลวล้างหน้า โดยการใช้คลีนเซอร์จะใช้เป็นขั้นตอนถัดจากการใช้คลีนซิ่งนั่นเอง
มาถึงตัวสุดท้ายอย่างโทนเนอร์ (Toner) ที่เป็นผลิตภัณฑ์ช่วยให้ผิวพร้อมรับการบำรุงจากสกินแคร์ตัวอื่นๆ อย่างเซรั่ม ไปจนถึงครีมบำรุงผิวหน้า โดยโทนเนอร์จะใช้เช็ดหลังจากล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์ เพื่อเป็นการปรับสมดุล pH ของผิวหลังล้างหน้า และเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับขั้นตอนการบำรุง ซึ่งโทนเนอร์มีหลากหลายสูตรทั้งสูตรเติมความชุ่มชื้น สูตรสำหรับผิวหน้าหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส สูตรผิวแพ้ง่าย เป็นต้น
หากสรุปง่ายๆ ให้เห็นภาพถึงขั้นตอนการเรียงลำดับการใช้มากขึ้นก็จะเป็น คลีนซิ่ง > คลีนเซอร์ > โทนเนอร์ นั่นเอง
คลีนซิ่งเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างมากในขั้นตอนการทำความสะอาดผิวหน้า แต่หลายๆ คนยังคงสับสนระหว่างคลีนซิ่งกับโทนเนอร์ เลยทำให้ไม่แน่ใจว่าคลีนซิ่งใช้ตอนไหน? โดยปกติแล้ว คลีนซิ่งจะเอาไว้ทำความสะอาดคราบเครื่องสำอาง สิ่งสกปรก มลภาวะต่างๆที่อยู่บนใบหน้าเรา จึงควรใช้เป็นขั้นตอนแรกก่อนการล้างหน้า
แต่ในบางยี่ห้อก็อาจมีผลิตคลีนซิ่งสูตรต่างๆที่แตกต่างออกไป เช่น ทำเป็นคลีนซิ่งหน้าใส ปรับสูตรให้สามารถใช้คลีนซิ่งไม่ต้องล้างหน้าได้ หรือปรับให้สามารถใช้แทนโทนเนอร์ได้ มีการใส่สารบำรุงต่างๆ เป็นต้น
ส่วนคำถามที่มักพบบ่อยๆว่า “ถ้าเราไม่แต่งหน้าต้องใช้คลีนซิ่งไหม?” หลายๆคนอาจคิดว่าไม่จำเป็น แต่ความเป็นจริงแล้วควรจะต้องใช้คลีนซิ่งในการทำความสะอาดผิวหน้า สาเหตุเพราะว่าโฟมล้างหน้าที่เราใช้เป็นประจำ อาจไม่สามารถทำความสะอาดครีมกันแดด หรือมลภาวะต่างๆ ที่เกาะอยู่บนผิวหน้าของเราได้อย่างเพียงพอ ทำให้มีโอกาสที่สิ่งตกค้างมาอุดตันผิว จนก่อเกิดสิวอุดตัน หรือสิวอักเสบขึ้นมาได้
จึงแนะนำว่า ควรใช้คลีนซิ่งที่เหมาะกับสภาพผิวของเรา เช็ดทำความสะอาดผิวก่อนล้างหน้าแม้จะแต่งหน้าหรือไม่แต่งหน้าก็ตาม เพื่อทำความสะอาดอย่างหมดจด ให้ผิวดูใส แข็งแรง และลดโอกาสการเกิดผิวอุดตัน สิวต่างๆ จึงจะดีที่สุด
ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับคลีนซิ่ง
สำหรับคนที่แต่งหน้าเป็นประจำทุกวันยิ่งจำเป็นจะต้องใช้คลีนซิ่งในการขจัดเครื่องสำอาง ครีมกันแดด ฝุ่นละอองเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากเกิดการอุดตันแล้วอาจจะส่งผลทำให้เกิดสิวได้ แต่คนที่ไม่แต่งหน้าก็อย่าเพิ่งชะล่าใจไป เพราะแม้จะไม่แต่งหน้าแต่ทากันแดดหรือไม่ได้ทา ก็ควรใช้คลีนซิ่งเพื่อทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อาจอุดตันในรูขุมขนให้หมดด้วยเช่นกัน เพราะการทำความสะอาดเครื่องสำอาง สิ่งสกปรกออกไม่หมด ไม่สะอาด ก็มีส่วนทำให้เกิดรูขุมขนกว้างได้ไม่แพ้กันกับคนที่หน้ามันเป็นสิวง่าย สรุปได้ว่าจำเป็นต้องใช้คลีนซิ่งนั่นเอง
การใช้คลีนซิ่งสามารถใช้เป็นขั้นตอนแรกของการทำความสะอาดผิวหน้า โดยแนะนำให้ใช้คลีนซิ่งรูปแบบต่างๆ ที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นคลีนซิ่งวอเตอร์ คลีนซิ่งเจล คลีนซิ่งมิลค์ ฯลฯ ทำความสะอาด ขจัดเครื่องสำอาง ครีมกันแดด สิ่งสกปรก มลภาวะ แล้วหลังจากนั้นค่อยล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์คลีนเซอร์อย่างเจลล้างหน้า โฟมล้างหน้า ให้สะอาดเพื่อสุขภาพผิวที่ดี
หากแต่งหน้าทั้งแบบเบาๆ และเมคอัพแน่นๆ รวมไปถึงทาแค่ครีมกันแดดเบาหรือไม่ได้ทาอะไรเลย ก่อนล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์ก็ควรเช็ดหน้าด้วยคลีนซิ่งก่อน เพราะบางทีการล้างด้วยน้ำเปล่าอาจไม่สามารถชำระล้างสิ่งสกปรกในรูขุมขน ความมันบนผิวออกได้อย่างหมดจด ฉะนั้นแนะนำว่าไม่ควรทำอย่างยิ่ง
ควรใช้คลีนซิ่งอย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อวัน ทั้งเช้า และเย็น เพื่อทำความสะอาดผิวให้หมดจด ทั้งนี้ ไม่ควรใช้คลีนซิ่งบ่อยเกินไป เพราะอาจทำร้ายผิวหน้าได้
คลีนซิ่ง สามารถใช้ในตอนเช้าได้ด้วยเช่นกัน เพราะภายในอากาศ รวมไปถึงที่นอน ปลอกหมอน ล้วนมีแต่ฝุ่นละออง ที่สามารถเกาะติดบนใบหน้าเราได้ตลอดเวลา
คลีนซิ่งถูกออกแบบมาใช้เพื่อเช็ดทำความสะอาดหน้า หรือเช็ดเพื่อล้างเครื่องสำอางเท่านั้น โดยควรใช้ก่อนล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหน้า เพื่อประสิทธิภาพที่ดี
เริ่มเช็ดบริเวณตามแนวรูขุมขน เพื่อไม่ให้รูขุมขนกว้าง จากนั้นเช็ดตามหน้าผาก โดยเช็ดจากกึ่งกลาง ออกไปทางด้านข้าง ในบริเวณจมูก ให้เช็ดจากดั้งลงมาตรงปลายจมูก และบริเวณแก้ม ควรเช็ดจากคางขึ้นไปยังขมับ สุดท้ายนี้ ในบริเวณคาง ควรเช็ดจากใต้ริมฝีปากไปจนถึงปลายคาง
ไม่ว่าจะแต่งหน้าเบา ไม่แต่งเลยหรือจะแต่งหน้าแน่นแค่ไหนก็ควรใช้คลีนซิ่งในการทำความสะอาดผิวหน้าก่อนล้างหน้าให้สะอาดทุกครั้ง เพราะในปัจจุบันคลีนซิ่งมีการออกแบบให้เข้ากับปัญหาผิวมากมายทั้งผิวแพ้ง่าย ช่วยลดโอกาสเกิดสิว เติมความชุ่มชื้นสำหรับผิวแห้งก็มีครบจบทุกผิว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้ตามความถนัด ตามความเหมาะสมของผิวเรา เพื่อให้ผิวสะอาดสดใส แลดูสุขภาพดี ตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการทำความสะอาด