วิธีการดูแลผิว
ผลัดเซลล์ผิวหน้าอย่างไร ให้หน้าเนียน กระจ่างใส
การผลัดเซลล์ผิวเพื่อผิวกระจ่างใส ทำได้หรือเปล่า อันตรายไหม สามารถทำได้อย่างไรบ้าง คนตั้งครรภ์ผลัดเซลล์ผิวได้หรือไม่ มาลองดูวิธีการผลัดเซลล์ผิวอย่างปลอดภัย
วิธีการดูแลผิว
การผลัดเซลล์ผิวเพื่อผิวกระจ่างใส ทำได้หรือเปล่า อันตรายไหม สามารถทำได้อย่างไรบ้าง คนตั้งครรภ์ผลัดเซลล์ผิวได้หรือไม่ มาลองดูวิธีการผลัดเซลล์ผิวอย่างปลอดภัย
สำหรับผู้ที่ดูแลผิวหน้าอยู่เป็นประจำ การ “ผลัดเซลล์ผิวหน้า” คงเป็นคำที่คุ้นชินอยู่แล้ว การผลัดเซลล์ผิวหน้าคือกระบวนการตามธรรมชาติของร่างกายที่มีการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วชั้นนอกสุด หรือที่เรียกว่าชั้นหนังกำพร้า และสร้างเซลล์ผิวชั้นใหม่ขึ้นมา โดยการผลัดเซลล์ผิวจะมีส่วนช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส ช่วยลดรอยดำ รอยสิว หรือรอยแผลที่อยู่บนชั้นผิวได้
ทำให้การเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิว มักเป็นหนึ่งในวิธีการลดรอย เร่งให้ผิวกระจ่างใส แต่ว่าวิธีการผลัดเซลล์ผิวหน้าก็มีอยู่หลายวิธี ควรพิจารณาการเลือกวิธีที่มีความอ่อนโยน ไม่เกิดความระคายเคืองกับผิว ฉะนั้นวันนี้ Bioderma จะขอพาทุกท่านไปรู้จักกับการผลัดเซลล์ผิวหน้า ไม่ว่าจะเป็นข้อดี ข้อเสีย รวมไปถึงภาวะใดไม่ควรสครับหน้า และอื่นๆ อีกมากมายในบทความนี้
สารบัญบทความ
การผลัดเซลล์ผิวหน้า (Facial Exfoliation) คือ วิธีการที่เร่งขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วของผิวหนังชั้นบนสุดหรือที่เรียกกันว่าชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ให้หลุดออก เพื่อให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ โดยจะมีการใช้อุปกรณ์ที่ช่วยขัดผิว ผลัดเซลล์ผิวอย่างถุงมือขัดผิว ฟองน้ำขัดผิว เครื่องขัดผิว ใยบวบ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีส่วนผสมช่วยผลัดเซลล์ผิวด้วย
แม้ว่าจริงๆ แล้วสภาพผิวคนเราก็มีกระบวนการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติทุกๆ 28 วัน แต่เมื่อคนเรามีอายุที่เพิ่มขึ้นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติก็มีระยะเวลาที่เพิ่มมากขึ้นไปพร้อมกัน โดยจะใช้เวลาประมาณ 45 วันถึงจะผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ฉะนั้นการเร่งการผลัดเซลล์ผิว ไม่ว่าจะผลัดเซลล์ผิวหน้าด้วยตัวเอง หรือตามร่างกายนั้นจึงถือเป็นกระบวนที่ช่วยให้เซลล์ผิวใหม่มาแทนที่ได้เร็วยิ่งขึ้นนั่นเอง
การผลัดเซลล์ผิวหน้าเป็นการทำเพื่อช่วยกระตุ้นให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วบนผิวหน้าหลุดออกไป ให้เซลล์ผิวใหม่ผลิตมาแทนที่ได้ไวขึ้น และช่วยป้องกันการอุดตันโดยเฉพาะในผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง เนื่องจากเซลล์ผิวที่ตายแล้วแต่ไม่ยอมหลุด อาจผสมกับน้ำมันบนผิวและขนเล็กๆ ซึ่งในอนาคตอาจก่อให้เกิดเป็นสิวเสี้ยนหรือทำให้ผิวเกิดสิวอุดตันได้ ทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงควรผลัดเซลล์ผิวหน้า
โดยวิธีผลัดเซลล์ผิวหน้า สามารถทำได้ทั้งวิธีทางกายภาพและการใช้สารเคมี ดังต่อไปนี้
การผลัดเซลล์ผิวหน้าด้วยวิธีแรกคือการผลัดเซลล์ผิวด้วยวิธีทางกายภาพ หรือ Physical Exfoliator คือการใช้สครับในรูปแบบเม็ดบีดหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการขัดผิวอย่างใยบวบหรือหินสำหรับขัดผิวได้ แต่วิธีการดังกล่าวไม่แนะนำสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายบอบบาง เนื่องจากการผลัดเซลล์ผิวหน้าด้วยวิธีทางกายภาพหรือการขัดผิวอาจทำให้ผิวบางเกินไป สำหรับผิวบางอยู่แล้วอาจทำให้เกิดการระคาย หรือเกิดเป็นบาดแผลเล็กในชั้นผิวได้เลยทีเดียว
สำหรับการผลัดเซลล์ผิวหน้าอีกหนึ่งวิธีเป็นการผลัดเซลล์ผิวด้วยการใช้สารเคมี หรือ Chemical Exfoliants จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเร่งการผลัดเซลล์ผิวหน้าที่น่าสนใจ เพราะสารเคมีหลายตัวมีความอ่อนโยนกับผิว ปลอดภัยในการใช้งาน และอาจอ่อนโยนกว่าการใช้สครับหรือการขัดผิวอีกด้วย แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นสารเคมีก็ไม่อันตราย และมักจะใช้เป็นส่วนผสมของสกินแคร์ด้วยเช่นกัน
ถ้ากระบวนการผลัดเซลล์ผิวสามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ เป็นวัฏจักรของร่างกาย เราจำเป็นต้องผลัดเซลล์ผิวหน้าหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละบุคคล เพราะคนเรานั้นมีสภาพผิว ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน รวมถึงการตอบสนองของผิวต่อการเร่งผลัดเซลล์ผิวหน้านั้นก็ไม่เหมือนกันอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีผิวหน้าที่มีความบอบบาง ซึ่งข้อดี และข้อเสียของการผลัดเซลล์ผิวหน้าสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
รู้หรือไม่? การผลัดเซลล์ผิวหน้ายังช่วยให้หน้าโทรม กลับมาสดใสด้วย
สำหรับการผลัดเซลล์ผิวหน้าจะมีสารเคมีที่นิยมใช้เพื่อช่วยในการช่วยผลัดเซลล์ผิวคือกรด AHA (Alpha Hydroxy Acids) และ BHA (Beta Hydroxy Acid) โดยทั้งสองประเภทนี้มักจะเป็นส่วนผสมของสกินแคร์ต่างๆ ในกลุ่มรักษาสิว ช่วยดูแลให้ผิวกระจ่างใส มาดูไปพร้อมๆ กันว่าทั้งสารทั้งสองตัวนี้มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวเป็นอย่างไรบ้าง
กรด AHA หรือกรดอัลฟาไฮดรอกซี (Alpha Hydroxy Acids) คือ สารสกัดจากธรรมชาติที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น กรดซิตริก (Citric Acid), กรดไกลโคลิค (Glycolic Acid) เป็นต้น โดยกรด AHA เป็นกรดที่มีขนาดโมเลกุลค่อนข้างเล็ก สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง ช่วยให้ผิวเต่งตึง มีความกระจ่างใส สำหรับการใช้กรด AHA ในการผลัดเซลล์ผิวหน้านั้นไม่ควรใช้ในปริมาณที่มีความเข้มข้นมากเกินไป เพราะอาจทำร้ายผิวได้
กรด BHA หรือกรดเบต้าไฮดรอกซี (Beta Hydroxy Acid) เป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นมาจากธรรมชาติ มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ทนต่อความร้อน เช่น กรดซาลิไซลิค (Salicylic Acid) เป็นกรดที่มีความอ่อนโยนมากกว่า AHA มีจุดเด่นคือสามารถละลายได้ดีในน้ำมัน เมื่อใช้ในการผลัดเซลล์ผิวหน้าจึงทำให้สามารถแทรกซึมไปถึงซีบัม (Sebum) ที่อุดตันรูขุมขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยทำความสะอาดรูขุมขนได้อย่างสะอาด ปราศจากสิ่งสกปรกตกค้าง ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดขนาดของรูขุมขน ทำให้รูขุมขนกระชับ และที่สำคัญควรใช้ BHA ผลัดเซลล์ผิวหน้าในปริมาณความเข้มข้นที่น้อยมากเพราะอาจเกิดการระคายกับผิวได้
อย่างไรก็ตามการใช้งานกรดในการผลัดเซลล์ผิวหน้า AHA และ BHA ควรใช้ด้วยความระมัดระวังและสังเกตเสมอว่าผิวมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารดังกล่าวอย่างไร ทางที่ดีที่สุดคือการปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ก่อนการใช้งาน เนื่องจากสภาพผิวของแต่ละบุคคลนั้นแตกต่างกัน แม้กรดดังกล่าวจะมีส่วนช่วยในการผลัดเซลล์ผิวได้เป็นอย่างดี แต่การเริ่มต้นใช้งานโดยไม่แน่ใจว่าผิวจะเกิดความระคายเคืองหรือไม่อาจทำให้เกิดปัญหาผิวอื่นๆแทรกซ้อนได้ด้วย
ชวนอ่านบทความดีๆ ที่ไม่ควรพลาด : ผื่นขึ้นหน้า
หลายๆ คนที่เป็นมือใหม่ในการผลัดเซลล์ผิวหน้าผลัดเซลล์ผิวกาย เกิดข้อสงสัยถึงความแตกต่างระหว่าง AHA และ BHA ว่าทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างไร แม้ว่าจริงๆ แล้วสาร AHA และ BHA จะมีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวเหมือนกัน แต่คุณสมบัติย่อยของสารทั้งสองชนิดนี้แตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการและสภาพผิวที่แตกต่างกันนั่นเอง
เริ่มที่สาร AHA มีคุณสมบัติละลายในน้ำได้ดี แต่จะไม่ซึมเข้าผิวหน้าได้ลึก เพราะไม่สามารถซึมผ่านชั้นไขมันบนผิวหน้าได้ ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไปได้ง่ายขึ้น เพื่อให้สกินแคร์สามารถซึมลงผิวได้ดีขึ้น นอกจากการผลัดเซลล์ผิวแล้วยังมีส่วนช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียน ริ้วรอยบนใบหน้าหรือรอยสิวต่างๆ ดูจางลง และยังเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ผิวหน้าแห้ง ผิวหมองคล้ำ มีริ้วรอย
ส่วนสาร BHA มีคุณสมบัติละลายในไขมันได้ดี ทำให้ซึมเข้าสู่ชั้นไขมันบนผิวหน้าได้ ช่วยผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นให้สร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้หน้าดูกระจ่างใสขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยละลายไขมันที่ตกค้างบนใบหน้า จึงช่วยควบคุมความมันบนใบหน้าได้ดี และยังช่วยทำความสะอาดรูขุมขน ละลายสิวอุดตัน สำหรับใครที่มีผิวหน้ามัน รูขุมขนกว้าง และเป็นสิว การผลัดเซลล์ผิวหน้าด้วย BHA จึงเหมาะมากกว่า
ทราบหรือไม่ว่าสภาพผิวที่แตกต่างกันทำให้การใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวต่างกันไปด้วย ดังนั้นการหาข้อมูลว่าสภาพผิวของเราเหมาะกับการผลัดเซลล์ผิวหน้าแบบไหนจะช่วยลดโอกาสการเกิดการแพ้หรือการระคายผิวได้ดีขึ้น และที่สำคัญยังช่วยให้การผลัดเซลล์ผิวมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
การผลัดเซลล์ผิวหน้าสำหรับผิวธรรมดา จะเป็นผิวที่ไม่แพ้ง่าย จึงทำให้ผู้ที่มีผิวธรรมดาสามารถเลือกสครับตามที่ตัวเองต้องการหรือถนัดได้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้สครับแบบเม็ดบีด ใช้อุปกรณ์เพื่อช่วยขัดผิว หรือการเลือกใช้สารเคมีก็ดี แต่ควรระมัดระวังส่วนผสมที่อาจมีการแพ้อยู่แล้ว และไม่ใช้วิธีการผลัดเซลล์ผิวหน้าหลายวิธีติดกัน
สำหรับผู้ที่มีสภาพผิวแห้ง เป็นขุยลอกหรือมีลักษณะผิวค่อนข้างหยาบกร้าน ผิวหน้าไม่เรียบเนียน ขาดความชุ่มชื้น การผลัดเซลล์ผิวหน้าควรเลือกใช้กรด AHA ที่มีความเข้มข้นไม่เกิน 10% และไม่ควรใช้ BHA ในการผลัดเซลล์ผิว เนื่องจาก BHA เป็นกรดที่ละลายในน้ำมันได้ดี และควรหลีกเลี่ยงการใช้สครับผลัดเซลล์ผิวหน้าแบบเม็ดหรือแบบขัด เพราะอาจทำให้ผิวหน้าเกิดความระคายได้
การผลัดเซลล์ผิวหน้าสำหรับผิวบอบบางแพ้ง่าย ควรเลือกใช้กรด BHA จะมีความอ่อนโยนที่สุด ควรหลีกเลี่ยงการใช้สครับแบบเม็ดหรือแบบขัดเพราะอาจผิวแพ้ง่ายมักเป็นผิวที่บาง อาจทำให้เกิดการแสบ หรือเกิดรอยแผลหลังจากผลัดเซลล์ผิวได้
สำหรับผิวหน้ามันควรเลือกใช้กรด BHA ในการผลัดเซลล์ผิวหน้าเพราะมีความอ่อนโยนต่อผิว และยังละลายในน้ำมันได้ พร้อมทั้งยังช่วยปรับรูขุมขนให้เล็กลงได้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผิวมันที่มักจะมีรูขุมขนค่อนข้างกว้าง นอกจากนั้นการผลัดเซลล์ผิวด้วย BHA ยังช่วยควบคุมความมันบนผิวด้วยเช่นกัน
แม้ว่าการผลัดเซลล์ผิวหน้าจะช่วยให้เผยผิวใหม่ หน้ากระจ่างใส ลดการอุดตันของเซลล์ผิวเก่าที่อาจนำไปสู่การเกิดสิว และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ในระหว่างการผลัดเซลล์ผิวหรือหลังผลัดเซลล์ผิวนั้นสังเกตว่ามีอาการที่น่ากังวลเกี่ยวกับผิวเกิดขึ้น ควรชะลอหรือพักการผลัดเซลล์ผิวหน้าไปก่อน เช่น
ตอบข้อสงสัยที่พบบ่อยของการผลัดเซลล์ผิวหน้า
ควรผลัดเซลล์ผิวบ่อยครั้งแค่ไหน เป็นคำถามที่หลายๆ คนสงสัยกันค่อนข้างเยอะ จริงๆแล้วการผลัดเซลล์ผิวหน้าไม่ควรทำทุกวัน แต่จะบ่อยแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปหากไม่เคยผลัดเซลล์ผิวมาก่อน สามารถผลัดผิวได้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และหลังจากนั้นค่อยลดความถี่ในการผลัดเซลล์ผิวหน้าลงเหลือ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ และ 1-2 ครั้งต่อเดือนขึ้นอยู่กับสภาพผิวในช่วงเวลานั้นๆ
อย่างแรกควรศึกษาดูก่อนว่าผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่ใช้อยู่นั้นมีส่วนผสมของ AHA และ BHA หรือไม่ เพราะหากมีกรดที่ผสมอยู่ในสกินแคร์มักจะอยู่ในปริมาณที่อ่อนโยนและเป็นมิตรต่อผิวหน้า สามารถใช้ได้ทุกวัน หากใช้ร่วมกันกับผลิตภัณฑ์สำหรับผลัดเซลล์ผิวหน้าโดยเฉพาะอาจทำให้ผิวระคายได้
นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอลและ Benzoyl Peroxide เพราะเมื่อใช้ร่วมกันแล้วอาจทำให้ผิวระคายมากขึ้น และยังทำให้ผิวแห้งลอกได้
แม้จะยังไม่มีผลวิจัยแน่ชัดในเรื่องของผู้ที่ตั้งครรภ์กับการผลัดเซลล์ผิวหน้า แต่อย่างไรก็ตามด้วยความห่วงใยแนะนำว่าสำหรับบุคคลที่ตั้งครรภ์อยู่นั้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีเพื่อผลัดเซลล์ผิวหน้า รวมไปถึงควรงดใช้สกินแคร์ที่มีส่วนประกอบของ AHA และ BHA ไปก่อน และหันมาใช้วิธีการผลัดเซลล์ผิวทางกายภาพแทนจะดีกว่าเพื่อความปลอดภัยต่อทารกในครรภ์
การขจัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออกถือเป็นการช่วยเผยเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมา ซึ่งสามารถช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะรอยดำจากสิว ผิวไม่กระจ่างใส ให้แลดูกระจ่างใสเรียบเนียนขึ้น และยังช่วยป้องกันการอุดตันตามรูขุมขนอีกด้วย ทั้งหมดนี้จึงทำให้การผลัดเซลล์ผิวหน้าจึงเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนในการดูแลผิวที่สำคัญ
อย่างไรก็ตามมีข้อควรพึงระวังคือเลือกใช้วิธีการผลัดเซลล์ผิวหน้าให้เหมาะสม ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบสำหรับช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตรงตามสภาพผิว ปัญหาของผิว ก็จะทำให้การผลัดเซลล์ผิวหน้ามีประสิทธิภาพนั่นเอง