ในช่วงสงกรานต์แบบนี้ทุกคนคงทราบดีว่าเป็นช่วงที่อากาศร้อนจัด และหลายๆคนก็คงกำลังวางแผนออกไปเล่นน้ำในช่วงสงกรานต์ในขณะที่แดดแรงๆกันด้วย ดังนั้นเราควรมาทำความรู้จักวิธีการเลือกครีมกันแดดและประสิทธิภาพของครีมกันแดดที่จะช่วยบำรุงและปกป้องผิวเราแม้จะถูกน้ำชะล้างก็ตาม รวมถึงวิธีการทากันแดดที่ถูกต้องกันค่ะ

 

หลักการง่ายๆในการตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่เหมาะสมมีอยู่ 3 ข้อ คือ

1. กันรังสีได้ทั้ง UVA , UVB

รังสีอัลตราไวโอเลต หรือรังสี UV โดยรังสีที่ส่องมาบนโลกเราที่มีผลกระทบต่อผิวมากที่สุดคือ UVA และ UVB โดย 90% เป็นรังสี UVA ซึ่ง UVA ซึ่งเป็นรังสีที่สามารถแทรกถึงผิวชั้นลึกๆ หรือผิวหนังชั้นล่างได้ ทำลายเนื้อเยื่อและดีเอ็นเอของเซลล์ผิว (สามารถทะลุผ่านเมฆและกระจกได้ด้วย) โดยเป็นตัวทำลายคอลลาเจนและความชุ่มชื้นของผิวหนัง ทำให้ผิวแห้งจนเกิดริ้วรอยลึกหรือผิวเหี่ยวย่น มีผลต่อการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ทำให้ผิวดูแก่กว่าวัยอันควร ส่วน UVB นั้นเป็นรังสีที่สามารถทะลุได้ถึงชั้นหนังกำพร้าเท่านั้น จึงทำให้ผิวหนังแดงหรือผิวไหม้แดด ซึ่งเป็นตัวการหลักทำให้สีผิวหน้าหมองคล้ำ หรือที่เราเรียกว่า “แดดเผา” ผิวหนังไหม้ได้จากความร้อนที่เกิดจากโดนรังสีเป็นเวลานานๆ ส่งผลให้เกิด ฝ้า หรือ ฝ้าแดด

โดยปกติแล้วเป็นเรื่องยากที่จะหลบเลี่ยงรังสี UVA เพราะรังสีนี้สามารถส่งผ่านกระจก หรือแม้กระทั่งเราอยู่ในที่ร่มก็ตามเราก็ยังคงได้รับรังสีนี้อยู่ ดังนั้นวิธีการเลือกผลิตภัณฑ์ที่กันรังสี UVA ได้ ผลิตภัณฑ์นั้นต้องระบุว่า PA หรือ Protection Grade of UVA ซึ่งเป็นค่าที่แสดงถึงคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากรังสียูวีเอ (UVA) ส่วนเครื่องเครื่องหมาย + ที่ตามหลังนั้นคือค่าความสามารถใน

การปกป้องผิว โดยวัดเป็นเท่าของการเกิดผิวคล้ำดำ (Skin pigmentation) โดย PA คือ จะมีอยู่ด้วยกัน 4 ระดับ ดังนี้

PA+ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 1-4 เท่าของผิวปกติ หรือป้องกันได้น้อย

PA++ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 4-8 เท่าของผิวปกติ หรือป้องกันได้ปานกลาง (ทำงานในร่ม)

PA+++ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 8-16 เท่า หรือป้องกันได้มาก (ทำงานกลางแดด)

PA++++ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 16 เท่าขึ้นไป หรือป้องกันได้สูงมาก (ทำงานกลางแดดตลอดเวลา)

ในส่วนของการป้องกันรังสี UVB นั้น ค่าประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีบี (UVB) ในผลิตภัณฑ์จะระบุว่า SPF (Sun Protection Factor) ซึ่ง spf คือ ค่าความสามารถในการป้องกันรังสี UVB ไม่ให้เกิดอาการแดงที่บริเวณผิวหนังของเรา เมื่อทาด้วยผลิตภัณฑ์กันแดดที่ผิวด้วยปริมาณ 2 มิลลิกรัม/ตารางเซนติเมตร ส่วนค่าตัวเลขหลัง SPF ที่ระบุไว้ เป็นค่าที่ระบุไว้เพื่อแสดงถึงระยะเวลาที่ผิวหนังจะมีอาการแดงหลังจากทาไปแล้วได้นานเท่าใด เช่น SPF 30 นั้นจะหมายถึง “การใช้ระยะเวลานานกว่า 30 เท่าของเวลาที่ทำให้ผิวแดงเมื่อเปรียบเทียบกับตอนที่เรายังไม่ได้ทาครีมกันแดด” แต่จากผลการวิจัยกลับพบว่า “คนส่วนใหญ่จะทาครีมกันแดดเพียง 0.5-1.5 มิลลิกรัมต่อเนื้อที่ผิวหนัง 1 ตารางเซนติเมตรเท่านั้น ซึ่งจะได้ผลเพียงแค่ 20-50% ของค่า SPF ที่ระบุไว้” แต่ถ้า

ทาซ้ำๆ ในปริมาณที่พอดีจะได้ผลเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 เท่า นอกจากนี้ ค่า SPF ยิ่งสูงก็ยิ่งแสดงว่าครีมกันแดดนั้นมีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีได้มากขึ้นด้วย เช่น SPF 50 สามารถป้องกันแสงแดด UVB ได้ 98% เป็นต้น

2. เป็นครีมกันแดดที่สามารถกันเหงื่อกันน้ำได้

ความหมายของการเป็น water resistant คือ ทาครีมกันแดดที่ทราบค่า SPF ทิ้งไว้ก่อนนาน 20 นาที แล้วทำการลงไปแช่ในอ่างน้ำวน ( whirlpool หรือ Jacuzzi ) 20 นาที > ขึ้นจากน้ำ 20 นาที > แช่น้ำ 20 นาที > ขึ้นจากน้ำ 20 นาที > แล้วทดสอบ SPF ตอนครบ 100 นาที ถ้ายังได้ SPF คงเดิม จะเรียกผลิตภัณฑ์กันแดดชนิดนี้ได้ว่าเป็น Water Resistant Sunscreens ดังนั้นในช่วงสงกรานต์แบบนี้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าเป็น water resistant น่าจะตอบโจทย์สำหรับผู้รักการออกไปเล่นน้ำมากที่สุด

3. มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องผิวไม่ให้แก่ก่อนวัย ไม่เกิด ฝ้ากระจุดด่างดำ

แน่นอนที่สุดเมื่อเราต้องเผชิญกับแสงแดดเป็นเวลานานๆ ผิวหนังของเราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้จากการถูกทำร้ายจากรังสี UV ดังนั้นการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระหรือสารที่ช่วยปกป้องผิวของเราไม่ให้แก่ก่อนวัยเป็นอีกทางเลือกนึงที่ทำให้เรามั่นใจได้ว่าผิวของเราจะถูกทำลายน้อยที่สุด และสามารถฟื้นฟูผิวของเราจากการถูกทำร้ายของแสงแดดเป็นเวลานานๆได้อย่าลืมว่าสิ่งสำคัญที่จะทำให้ครีมกันแดดมีประสิทธิภาพสูงสุด คือ

1. ควรทาครีมกันแดดทิ้งไว้ก่อนการออกแดดประมาณ 15 – 30 นาที และต้องทาซ้ำทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้แน่ใจว่ายังมีสารกันแดดทำหน้าที่ปกป้องผิวอยู่

2. ปริมาณของครีมกันแดดที่เป็นมาตรฐานของค่า SPF นั้น “ต้องทาครีมกันแดดปริมาณ 2 มิลลิกรัมต่อเนื้อที่ผิวหนัง 1 ตารางเซนติเมตร” แต่ในความเป็นจริงเป็นการยากที่จะทำได้ ดังนั้นจึงแนะนำให้ทำซ้ำๆ ในปริมาณที่พอดี

3. การทาครีมกันแดดซ้ำ จะต้องทาเมื่อผิวแห้งสะอาดก่อน แล้วจึงลูบตัวผลิตภัณฑ์ให้เสมอๆ กันไปในทางเดียวกัน คือ ไม่ทาย้อนขึ้นย้อนลง เพราะจะเป็นเหมือนการถูไถ ทำให้ครีมกันแดดนี้หลุดออกไป

ปกป้องผิวอย่างมั่นใจแล้ว ก็ขอเล่นสงกรานต์กันอย่างมีความสุข สนุกแบบไม่ต้องกลัวผิวเสียนะคะ

สุดท้ายหากใช้ครีมกันแดดแต่ไม่ใช้คลีนซิ่งในการลบเครื่องสำอางหรือครีมกันแดดแล้ว อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดสิว ไม่ว่าจะเป็น สิวอุดตัน สิวเสี้ยน หรือ สิวอักเสบ และจะทำให้คุณต้องมาเสียเวลาไปกับการรักษาสิว ดังนั้น สิ่งที่คุณควรทำคือการการใช้คลีนซิ่งล้างเครื่องสำอาง แล้วตามด้วยเจลล้างหน้าเพื่อทำความสะอาดผิวหน้า จากนั้นจึงตามด้วย โทนเนอร์ เซรั่ม และครีมบำรุงผิวหน้าตามลำดับค่ะ

 

พญ.วิจิตรรัตน์ จำเพียร

แพทย์ด้านความงามและเวชศาสตร์ชะลอวัย