การใช้ชีวิตในแต่ละวัน บางครั้งไม่อาจหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับแสงแดดอันร้อนระอุได้ จึงทำให้การทาครีมกันแดดก่อนออกไปทำกิจกรรมต่างๆ กลายมาเป็นตัวเลือกหนึ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับยุคนี้

ทุกคนอาจคุ้นเคยกันดี กับค่า SPF และ PA ที่มักจะติดอยู่บนบรรจุภัณฑ์ของครีมกันแดดที่เราเลือกซื้อ คนส่วนใหญ่มักจะเลือกซื้อค่า SPF ที่สูงที่สุดไว้ก่อน เพราะเชื่อกันว่าจะสามารถปกป้องได้ดีกว่า หรือหลายๆคน ก็มักจะใช้ครีมกันแดด SPF ค่าเดียวกันกับทุกกิจกรรม

ความเชื่อเหล่านี้ แท้จริงแล้ว ถูกต้องหรือไม่? บทความนี้จะพาไปค้นหาคำตอบพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็น spf คืออะไร? การทาครีมกันแดดที่ถูกต้องทำอย่างไร? รวมไปจนถึง วิธีการเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสมต้องพิจารณาจากตรงไหน? มาเรียนรู้ไปพร้อมๆกันได้ที่นี่

spf คืออะไร

ค่า spf ย่อมาจาก sun protection factor คือ ค่าที่บ่งบอกถึงความสามารถในการป้องกันรังสียูวีบี(UVB) ไม่ให้เข้ามาทำร้ายผิวให้เกิดอาการคัน แดง หรือผิวไหม้แดด ซึ่งตัวเลขข้างหลัง SPF จะเป็นจำนวนเท่าของการปกป้องผิว ให้คุณสามารถยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดได้ โดยไม่เป็นอันตรายต่อผิว
ทำให้ยิ่งมีค่า SPF สูงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสามารถปกป้องได้ยาวนานมากขึ้นเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องแลกกับการที่มีโอกาสเกิดความระคายเคืองผิวได้มากกว่า ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว หากไม่ได้มีกิจกรรมกลางแจ้ง ก็สามารถใช้ครีมกันแดด ที่มีค่า SPF ไม่สูงมากก็ย่อมได้

spf ป้องกันรังสีอะไร

“แสงแดด” มาพร้อมกับรังสีอัลตราไวโอเลต ที่ทำร้ายผิวให้เกิดหน้าหมองคล้ำ รอยแดงต่างๆ ผิวเหี่ยวย่น ไม่แข็งแรง จึงจำเป็นต้องผลิตครีมกันแดดขึ้นมา เพื่อปกป้องผิวของเรายามที่ต้องทำกิจกรรมกลางแสงแดด

ถ้าถามว่า “spf ป้องกันรังสีอะไร?” ค่า SPF ที่อยู่ภายในครีมกันแดด จะช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีบี (UVB) ซึ่งเป็นรังสีชนิดหนึ่งของรังสีอัลตราไวโอเลต โดยแท้ที่จริงแล้ว ค่า SPF มีที่มาจากค่าทดสอบในห้องทดลองที่กำหนดภาวะผิวหนังแดงจากการถูกแสงแดดทำร้าย

การทดสอบนี้ ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก โดยมีการแบ่งผู้รับการทดสอบออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกจะได้รับการทาครีมกันแดด ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจะไม่มีการทาครีมกันแดด จากนั้นมีการปล่อยความเข้มของแสงหลายระดับเข้าสู่ผิวหนัง ต่อมาทำการอ่านผลทดสอบและนำไปคำนวณสูตรดังต่อไปนี้

SPF = ปริมาณแสงน้อยที่สุดที่ทำให้เกิดรอยแดงขณะใช้ครีมกันแดดปกป้องผิว/ปริมาณแสงน้อยที่สุดที่ทำให้เกิดรอยแดงตอนที่ไม่ได้ใช้ครีมกันแดดปกป้องผิว

ค่า spf กับ pa แตกต่างกันอย่างไร

ถึงแม้ว่าเรามักจะเห็นค่า SPF เขียนคู่กับค่า PA บนผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดอยู่บ่อยๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ค่าทั้งสองมีความแตกต่างกันอยู่ ดังนี้

ค่า spf

ค่า spf ย่อมาจาก sun protection factor คือ ค่าที่บ่งบอกถึงความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสียูวีบี(UVB) โดยตัวเลขจะแสดงถึงจำนวนเท่าในการปกป้องได้มากกว่าผิวปกติที่ไม่ได้ใช้ครีมกันแดด

ยกตัวอย่างเช่น หากเราเลือกซื้อครีมกันแดดที่มีค่า SPF30 ก็จะหมายความว่า ครีมกันแดดชนิดนี้ สามารถปกป้องผิวจากการถูกทำลายด้วยแสงแดด ได้มากกว่าผิวปกติที่ไม่ได้ใช้ครีมกันแดดถึง 30 เท่า ซึ่งคิดเป็นการปกป้องผิวจากรังสียูวีบี(UVB) 96.7%

ทั้งนี้ อาจขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลที่มีความแตกต่างกัน และคุณสมบัติของครีมกันแดด เช่น การกันน้ำ กันเหงื่อ เป็นต้น

 

ค่า pa

ค่า pa ย่อมาจาก Protection grade of UVA เป็นค่าที่หลายๆคนมักสงสัยว่าคืออะไรกันแน่ เพราะลักษณะของค่า pa ที่ติดอยู่บนบรรจุภัณฑ์ มักจะตามต่อท้ายค่า SPF เสมอ และไม่มีค่าตัวเลข แต่มีเพียงเครื่องหมายบวกเท่านั้น

ความเป็นจริงแล้ว pa คือ ค่าที่บ่งบอกถึงความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสียูวีเอ(UVA) โดยจะใช้เครื่องหมายบวก(+) ในการแสดงจำนวนเท่าที่สามารถปกป้องผิวได้ ซึ่งมีข้อมูลดังนี้

  • ค่า pa + จะสามารถปกป้องผิวไม่ให้หมองคล้ำมากกว่าผิวปกติที่ไม่มีการป้องกัน 2 - 4 เท่า
  • ค่า pa ++ สามารถปกป้องผิวได้มากกว่าปกติ 4 - 8 เท่า
  • ส่วนค่า pa +++ คือ จะสามารถปกป้องผิวจากรังสียูวีเอ(UVA) ได้มากกว่าปกติ 8 - 16 เท่า
  • สุดท้าย pa ++++ ปกป้องผิวจากรังสียูวีเอ(UVA) ได้มากกว่า 16 เท่า

spf มีความสำคัญอย่างไร

หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า รังสีอัลตราไวโอเลตที่มากับแสงแดด อาจทำร้ายเราได้มากกว่าที่คิด โดยรังสีอัลตราไวโอเลต แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ UVA UVB คือ uva เป็นรังสีที่มีอำนาจในการทะลุผ่านกระจกต่างๆได้ สามารถทำให้ผิวเหี่ยวย่น เกิดจุดด่างดำ ฝ้า ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ้าแดง ฝ้าแดด ฝ้ากระ ก็เกิดขึ้นจากรังสีนี้ได้ อีกทั้งยังทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้นด้วย

ส่วนรังสี UVB จะไม่สามารถทะลุผ่านกระจกเข้ามาได้ แต่จะทำให้ผิวที่ถูกทำร้ายอ่อนแอลง เกิดอาการแสบร้อน ผิวไหม้แดด หน้าหมองคล้ำ เป็นต้น

การทาครีมกันแดดที่มีค่า spf เหมาะสม จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะหากผิวถูกทำร้ายจนไม่แข็งแรงเหมือนดั่งปกติ จะทำให้ผิวมีความไวต่อแสง ระคายเคืองง่ายมากยิ่งขึ้น จึงแนะนำว่า การเลือกป้องกันผิว สามารถทำได้ง่าย ใช้เวลาไม่นาน และดีกว่าการพยายามฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายไปแล้ว ให้กลับมาสู่ภาวะปกติดังเดิมเสียอีก

วิธีเลือก spf ของครีมกันแดดให้เหมาะสม

การเลือก ครีมกันแดด ให้เหมาะสม จะต้องเลือก SPF ให้สัมพันธ์กับกิจกรรมที่ต้องการทำ เพื่อปกป้องผิวให้ได้อย่างดีที่สุด โดยค่า SPF แต่ละระดับ มีความแตกต่างกัน ดังนี้

  • SPF 8 จะสามารถดูดซับรังสี UVB ได้ 87.5% เหมาะกับกิจกรรมที่ไม่โดนแสงแดดเลย เพราะค่า spf ไม่เพียงพอต่อระยะเวลาการป้องกันแสงแดดที่ยาวนานนัก
  • ค่า SPF 15 ดูดซับรังสี UVB ประมาณ 93.3% เหมาะสำหรับผู้ที่ทำกิจกรรมภายในอาคาร ตึก หรือบ้าน ไม่มีการโดนแสงแดดเลย และผู้ที่มีผิวสองสี หรือผิวสีน้ำผึ้ง ในค่าระดับนี้ หากอยู่กลางแสงแดดมากเกินไป อาจก่อให้เกิดอาการผิวแดงเล็กน้อย
  • ค่า SPF 30 ดูดซับรังสี UVB ได้ประมาณ 96.7% เหมาะกับกิจกรรมกลางแจ้งที่มีเงาร่ม อากาศไม่ร้อนจัดมาก และผู้ที่มีสีผิวขาวอมเหลือง
  • ค่า SPF 45 สามารถดูดซับรังสี UVB ได้ 97.8% เหมาะสำหรับกิจกรรมที่มีออกกลางแจ้งบ้าง แสงแดดไม่แรงจัด และผู้ที่ผิวขาวอมชมพู เนื่องจากมีโอกาสที่จะเกิดผิวไหม้แดด หมองคล้ำ ได้เร็วกว่า
  • SPF 50 สามารถดูดซับรังสี UVB ประมาณ 98% เหมาะสำหรับกิจกรรมที่อยู่กลางแจ้ง หรือสถานที่แสงแดดแรงจัด เช่น ทะเล

จำเป็นหรือไม่ที่ต้องใช้กันแดด spf สูงๆ

ประเด็นนี้มักจะเป็นข้อสงสัยหลักของคนส่วนใหญ่ เพราะหลายๆคนมักเลือกใช้ SPF สูงๆไปเลย เพื่อที่จะได้ป้องกันได้ทุกสถานการณ์

การเลือกครีมกันแดด SPF สูงๆ ไม่ได้ผิด แต่จะดีกว่าไหม ถ้าเราจะเลือกค่า SPF ให้ตรงกับการใช้งาน เพราะอย่าลืมว่า ยิ่งเราเลือกค่า SPF สูงมากเท่าไหร่ โอกาสในการระคายเคืองก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

อีกทั้ง การป้องกัน แสงแดด ไม่ได้อยู่ที่ค่า SPF เพียงปัจจัยเดียว เพราะหากเลือก SPF สูง แต่ไม่มีคุณสมบัติกันน้ำ กันเหงื่อ เมื่อเกิดการเสียดสีจากการทำกิจกรรมต่างๆ ก็จะทำให้ครีมกันแดดที่ทาไว้เลือนหาย ส่งผลให้ค่าการปกป้องผิวในความเป็นจริงน้อยกว่าที่คำนวณไว้ได้ จึงอาจไม่จำเป็นต้องเลือกครีมกันแดดที่มี SPF สูงๆเสมอไป แต่จะต้องพิจารณาถึงปัจจัยอื่นๆด้วยเช่นเดียวกัน

spf ทนแดดได้กี่ชั่วโมง

หลายๆคน อาจมีข้อสงสัยอยู่ในใจว่า ปกติแล้ว spf ทนแดดได้กี่ชั่วโมง ไม่ต้องกังวล เพราะต่อจากนี้ ทาง Bioderma จะมาบอกเคล็ดลับดีๆ ในการคำนวณความสามารถในการกันแดดให้คุณ

ยกตัวอย่างเช่น spf 40 ทนแดดได้กี่ชั่วโมง? ให้เราประเมินจากความทนทานของผิว หากเราอยู่กลางแสงแดด 15 นาที แล้วเริ่มมีอาการผิวแดง คล้ำ ระคายเคืองผิว แสดงว่า ผิวเราสามารถทนทานได้เพียง 15 นาที

เมื่อเราทาครีมกันแดดที่มี spf 40 การคำนวณความสามารถในการกันแดด จะนำ spf40 x 15 นาที(ที่ผิวสามารถทนทานได้) จะได้เท่ากับ 600 นาที หรือ 10 ชั่วโมงที่สามารถกันแดดได้นั่นเอง

ถึงแม้ว่าจะเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF ที่เหมาะสมกับการใช้งานแล้ว อีกพาร์ทหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การใช้ครีมกันแดดให้ถูกวิธี ซึ่งวิธีการทาครีมกันแดดที่ถูกต้องตามหลักการ มีดังต่อไปนี้

  1. ตรวจสอบว่า ผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้ สามารถใช้ได้โดยไม่เกิดอาการแพ้ ระคายเคืองหรือไม่? โดยการทาลงบริเวณจุดที่เซนซิทิฟไว้สักพัก เช่น หลังมือ ข้อพับแขน ข้อพับขา ฯลฯ
  2. ก่อนออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ควรทาครีมกันแดดก่อนประมาณ 30 นาที
  3. เมื่อจำเป็นต้องเผชิญกับแสงแดด 1-7 ชั่วโมง ให้ทาซ้ำทุกๆ 2-3 ชั่วโมง
  4. ปริมาณการทาครีมกันแดด ควรอยู่ที่ 1 ออนซ์ หรือ 2 ข้อนิ้วมือ
  5. ไม่ควรใช้ครีมกันแดดที่หมดอายุไปแล้ว
  6. เลือกคุณสมบัติครีมกันแดดให้เหมาะกับกิจกรรม เช่น หากต้องการไปว่ายน้ำ ควรเลือกใช้คุณสมบัติที่สามารถป้องกันน้ำ ป้องกันเหงื่อได้ เป็นต้น
spf คือ วิธีทาครีมกันแดด

การทดสอบครีมกันแดด

การทดสอบประสิทธิภาพครีมกันแดด จะทดสอบภายในห้องทดลอง โดยมีการแบ่งกลุ่มทดลองออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่1 จะมีการทาครีมกันแดด ปริมาณ 2 มิลลิกรัมต่อตารางเซนติเมตร และกลุ่มที่2 ไม่มีการทาครีมกันแดดป้องกันผิว

จากนั้นใช้โคมไฟเพื่อปล่อยแสงจากเครื่อง Solar ออกมา ความเข้มของแสงรังสี UVA กับ UVB หลายๆระดับ จะทำปฏิกิริยากับผิวหนังที่เข้ารับการทดสอบ เมื่อเวลาผ่านไป 16 - 24 ชั่วโมง แล้วให้อ่านผลการทดสอบ

ต่อมา วัดค่า SPF โดยใช้โคมไฟปล่อยแสงจากเครื่อง UV Spectrometer เพื่อกำหนดช่วงรังสีที่ถูกปล่อยออกมา สารครีมกันแดด ปริมาณ 2 มิลลิกรัมต่อตารางเซนติเมตร ที่ทาบน Poly methyl meta acrylate(PMMA) จะมีการดูดซับรังสี UV เกิดขึ้น ซึ่งผลการทดสอบของทั้ง 2 การทดลองนี้ มีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกัน

แนะนำครีมกันแดดที่มี spf เหมาะสม

ทาง Bioderma ขอแนะนำครีมกันแดดดีๆ ที่มีค่า spf เหมาะสมสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งจะมีอยู่ 2 ผลิตภัณฑ์ที่น่าใช้งาน ดังนี้

  • Photoderm Aquafluide SPF50+ PA++++

Bioderma Photoderm Max Aquafluide

 

Bioderma Photoderm Aquafluide SPF50+ 40 ML ครีมกันแดดสูตรน้ำนม ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน ไม่มีส่วนผสมของสารพาราเบน น้ำหอม สามารถกันเหงื่อได้ดี เกลี่ยลงบนผิวได้ง่าย เบาบางสบายผิว ไม่ทำให้รู้สึกอึดอัด หรือเหนียวบริเวณที่ใช้งาน

ข้อดีของครีมกันแดด Photoderm Aquafluide ได้แก่…

  • ป้องกันรังสียูวีเอ(UVA) กับ ยูวีบี(UVB) ได้อย่างยาวนานถึง 8 ชั่วโมง
  • ผ่านการทดสอบจากมาตรฐานแพทย์ด้านผิวหนังแล้วว่า อ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว
    ผ่านการทดสอบจากมาตรฐานทางสากลแล้วว่า สารในครีมกันแดดไม่ทำร้ายปะการัง แพลงตอน สาหร่ายทะเล สิ่งมีชีวิตต่างๆที่อยู่ในทะเล แม่น้ำ
  • ได้รับสิทธิบัตร DAFTM complex (Dermatological Advanced Formulation) ที่ช่วยเสริมผิวแพ้ง่าย ให้กลับมาแข็งแรง ไม่เกรงกลัวกับมลภาวะต่างๆที่ต้องเผชิญ
  • สามารถใช้งานได้ทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวบอบบาง ผิวแพ้ง่าย
  • Photoderm Cover Touch SPF50+ PA++++

Bioderma Photoderm Cover Touch SPF 50+

 

Bioderma Photoderm Cover Touch SPF50+ ครีมกันแดดสีเนื้อ สูตรมิเนอรัล(Mineral) 100% สามารถปกปิดและคุมมันได้ถึง 8 ชั่วโมง กันน้ำ กันเหงื่อ กันความร้อน และความชื้นได้ดี ไม่อุดตันรูขุมขน

อีกทั้งยังมีข้อดีของ Photoderm Cover Touch อื่นๆอีก ได้แก่…

  • ปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB ได้ดี ไม่ให้เกิด หน้าเป็นฝ้า
  • มียูวีฟิลเตอร์ มาตรฐานจากยุโรป ทำให้ประสิทธิภาพสูง แต่คงความอ่อนโยนต่อผิวไว้ได้
  • สามารถป้องกันอาการผิวไหม้จาก UVB ได้
  • ลดโอกาสในการเกิดปัญหา ฝ้ากระจุดด่างดำ และริ้วรอยต่างๆได้
  • สารต่างๆไม่ตกค้างสะสมในสิ่งแวดล้อม
  • สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายก็ยังคงสามารถใช้ได้

ข้อสรุป

Spf คือ ค่าที่บ่งบอกถึงความสามารถในการป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต ชนิดยูวีบี(UVB) ที่มากับแสงแดด ซึ่งหากเรามีการทาครีมกันแดดที่เหมาะสมกับกิจกรรม และมีวิธีการทาครีมกันแดดที่ถูกต้อง ก็จะช่วยทำให้ผิวไม่ถูกทำลาย ผิวจะยังคงสุขภาพดี ไม่เกิด ผิวคล้ำ หรือ หน้าหมองคล้ำ ฝ้า ผิวไหม้แดด หรือรอยแดดจากแดดขึ้น

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดก็สำคัญ ครีมกันแดดที่ดี จะต้องมีความอ่อนโยนต่อผิว ไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ง่าย สามารถกันน้ำ กันเหงื่อ เหมาะสำหรับการลุยกิจกรรมต่างๆได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าการป้องกันจะจางหาย อีกทั้งสารภายในครีมกันแดดจะต้องไม่ตกค้างสะสม หรือเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

Bioderma ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโฟโตเดิร์ม

ปกป้องผิวจากแสงแดด

ผิวแพ้ง่ายที่ต้องเผชิญกับแสงแดด

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโฟโตเดิร์ม (Photoderm)

Bioderma ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโฟโตเดิร์ม

คุณกำลังมองหาครีมกันแดดประสิทธิภาพสูงสำหรับผิวของคุณอยู่หรือเปล่า

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโฟโตเดิร์ม (Photoderm) คือผลิตภัณฑ์กันแดดครบวงจรสำหรับทุกสภาพผิวรวมถึงผิวที่มีความไวต่อแสงแดด  โดยมีทั้งผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดสำหรับผิวที่ไวต่อสิ่งกระตุ้นอย่างแสงแดดหรือสารเคมีผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดสำหรับผิวแพ้ง่าย และผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดสำหรับผิวมันถึงผิวเป็นสิวง่ายโดยเฉพาะ