วิธีการดูแลผิว
7 เทคนิคในการเลือกครีมกันแดด ต้องดูอะไรบ้าง?
แนะนำ 7 เทคนิคในการเลือกซื้อครีมกันแดด เพื่อเลือกซื้อครีมกันแดดให้เหมาะสมกับสภาพผิว และกิจวัตรประจำวัน ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีการดูแลผิว
แนะนำ 7 เทคนิคในการเลือกซื้อครีมกันแดด เพื่อเลือกซื้อครีมกันแดดให้เหมาะสมกับสภาพผิว และกิจวัตรประจำวัน ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ครีมกันแดด” เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มีความสำคัญต่อการดูแลผิวเป็นอย่างมาก เพราะแสงแดดนั้นมีทั้ง UVA และ UVB ที่สามารถทำร้ายผิวของเราได้ ส่งผลให้ใบหน้าเกิดความหมองคล้ำ ฝ้า กระ จุดด่างดำ และปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมาได้อีกมากมาย ดังนั้น ในบทความนี้ทาง Bioderma จึงขอมาแชร์ 7 เทคนิคในการเลือกครีมกันแดด ว่าการจะซื้อกันแดดที่ถูกต้องนั้นจะต้องดูอะไรบ้าง เพื่อให้ได้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพ และเหมาะกับผิวของเรามากที่สุด
หัวข้อที่น่าสนใจ
ก่อนที่เราจะเลือกซื้อครีมกันแดด เราต้องรู้ก่อนว่าครีมกันแดดนั้นมีทั้งหมดกี่ประเภท และแต่ละประเภทมีการทำงานอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้เลือกให้เหมาะสมกับการใช้งาน และสภาพผิวของเรา โดยประเภทของครีมกันแดดนั้นสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
ครีมกันแดดประเภท Chemical Sunscreen เป็นครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารเคมี ที่จะทำการดูดซับรังสี และเปลี่ยนเป็นความร้อน เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด และไม่ให้แสงผ่านเข้าไปทำร้ายชั้นผิวหนังได้ โดยครีมกันแดดประเภทนี้จะมีเนื้อครีมแบบทั่วไป ไม่หนักผิว และไม่ได้เบาบางกว่าปกติ นอกจากนี้อาจจะมีส่วนผสมของสารเคมีเยอะกว่าครีมกันแดดแบบอื่น ๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังได้ง่าย ดังนั้น ผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย หรือระคายเคืองง่าย ควรตรวจสอบส่วนผสม หรือทำการทดลองก่อนว่ามีอาการแพ้หรือไม่
ครีมกันแดดประเภท Physical Sunscreen เป็นครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของ Titanium Oxide และ Zinc Oxide ที่ทำให้ระคายเคืองผิวน้อยกว่ากันแดดแบบ Chemical โดยมีหลักในการทำงาน คือ สะท้อนรังสี UVA และ UVB ออกไปจากผิว เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด ซึ่งครีมกันแดดประเภทนี้จะมีเนื้อสัมผัสแบบครีม แต่จะเนื้อครีมจะไม่เนียน หรือละเอียดเหมือนกับกันแดดแบบอื่น ๆ ทำให้เวลาทาอาจจะเกิดขุย หรือทำให้ผิวดูขาวจนมากเกินไป เพราะมีสารที่ทำการเคลือบบนผิวหนัง เพื่อสะท้อนแสงรังสี UV นั่นเอง
ครีมกันแดด Chemical-Physical Sunscreen เป็นครีมกันแดดที่ผสมผสานกันระหว่างประเภท Chemical และ Physical ทำให้กันแดดประเภทนี้สามารถทำงานได้ทั้งดูดซับรังสี และสะท้อนรังสี พร้อมกับลดโอกาสในการเกิดการระคายเคืองจากส่วนผสมของสารเคมี และลดความขาวลงเมื่อทาลงผิว ส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการกันแดดมากขึ้น และเป็นที่นิยมมากที่สุดในประเภทของครีมกันแดด
สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กับการเลือกประเภทของครีมกันแดด คือ การเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป เพราะว่าค่า SPF สูง ก็จะทำให้เราสามารถอยู่กลางแดด หรือเผชิญกับแสงแดดได้นานมากขึ้น ก่อนที่จะมีอาการผิวไหม้แดงนั่นเอง โดยการเลือกค่า SPF นั้นไม่จำเป็นต้องเลือกครีมกันแดดที่มี SPF สูงที่สุด แต่ให้เลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF เหมาะกับกิจกรรม หรือการใช้ชีวิตของเรา ซึ่งส่วนใหญ่ค่า SPF ตั้งแต่ 30 ไปจนถึง 50 นั้นเป็นค่า SPF ที่นิยมใช้กัน เพราะเป็นค่า SPF ที่กำลังพอดี ไม่เยอะ ไม่น้อยเกินไป และเหมาะกับแดดประเทศไทยเป็นอย่างมาก
นอกจากประเภทกันแดด และค่า SPF แล้ว รูปแบบของครีมกันแดดก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะแต่ละรูปแบบนั้นมีเนื้อสัมผัส และความเข้มข้นที่แตกต่างกัน โดยรูปแบบ และเนื้อสัมผัสของครีมกันแดดที่มีอยู่ในท้องตลาด มีดังนี้
ครีมกันแดดแบบเนื้อครีมนั้นจะมีเนื้อสัมผัสเป็นครีมเหมือนมอยส์เจอร์ไรเซอร์ แต่ไม่หนักผิว และไม่เบาบางจนเกินไป โดยส่วนใหญ่กันแดดในรูปแบบนี้มักจะมีการใส่สารบำรุงเข้ามาด้วย ทำให้เป็นรูปแบบของครีมกันแดดที่นิยมมากที่สุด
ครีมกันแดดแบบเนื้อเจลนั้นจะมีเนื้อสัมผัสที่บางเบากว่าเนื้อครีม และซึมง่ายกว่า โดยผู้ที่ใช้เครื่องสำอาง หรือผู้ชาย มักจะนิยมใช้แบบเจล เพราะว่าไม่มีสี ไม่เปลี่ยนสีของเครื่องสำอาง และสามารถใช้เป็นไรพเมอร์ก่อนแต่งหน้าได้อีกด้วย
ครีมกันแดดแบบแท่งนั้นเป็นครีมกันแดดแบบสำเร็จรูป พกพาได้ง่าย ใช้สะดวก ด้วยรูปแบบของครีมกันแดดที่อัดมาเป็นแท่ง สามารถใช้ปาดลงบนผิวได้เลยทันที มีความหนักผิวเล็กน้อย และต้องปาดหลายครั้ง เพื่อให้ผิวได้ทากันแดดในปริมาณที่เหมาะสม
ครีมกันแดดแบบสเปรย์เป็นกันแดดที่นิยมใช้กันใระหว่างวัน เพราะว่ากันแดดจะมาในรูปแบบของฝอยละออง ไม่หนักผิว ไม่รบกวนเครื่องสำอาง พกพาสะดวก ใช้งานง่าย เพียงแค่ฉีดให้ทั่วผิวหน้า หรือผิวกาย
เมื่อรู้แล้วว่ารูปแบบของครีมกันแดดมีอะไรบ้างแล้ว ต่อไปเราจะไปดูกันว่าแต่ละสภาพผิวนั้นควรเลือกใช้ครีมกันแดดแบบไหน เพื่อให้เหมาะกับสภาพผิวของตัวเองมากที่สุด โดยแต่ละสภาพผิวนั้นเหมาะกับครีมกันแดด ดังนี้
สภาพผิวแห้ง เหมาะกับครีมกันแดดเนื้อครีม เพราะว่าเป็นเนื้อสัมผัสที่เหมือนกับครีมมอยส์เจอร์ไรเซอร์ และมีสารบำรุงในตัว สามารถช่วยกันแดดได้ดี พร้อมช่วยเสริมให้ผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้น และลดโอกาสในการเกิดกันแดดเป็นขุย
สภาพผิวมัน เหมาะกับการใช้ครีมกันแดดแบบเนื้อเจล เพราะมีเนื้อสัมผัสเบาบางกว่ากันแดดแบบอื่น ๆ ซึมไว ไม่มีสี ไม่ทิ้งความเหนอะหนะไว้บนผิว และไม่เพิ่มความมันให้ผิว ทำให้เกิดโอกาสรูขุมขนอุดตันได้น้อย และลดโอกาสในการเกิดสิว รวมถึงเลือกกันแดดที่ระบุว่า “Non Comedogenic” ที่เป็นกันแดดที่ไม่ทำให้เกิดสิว
สภาพผิวผสม สามารถใช้กันแดดได้ทั้งรูปแบบครีม และรูปแบบเจล โดยครีมกันแดดเนื้อครีมนั้นควรจะเลือกที่มีเนื้อสัมผัสไม่หนักจนเกินไป เพราะผิวผสมนั้นยังมีความมันบนผิวอยู่ ถ้าหากเลือกครีมกันแดดที่มีเนื้อหนัก อาจทำให้เกิดการอุดตัน และเพิ่มโอกาสในการเกิดสิวได้ง่าย ซึ่งควรเลือกกันแดดที่ระบุว่า “Non Comedogenic” ด้วย เพราะเป็นกันแดดที่ไม่ทำให้เกิดสิว
สำหรับสภาพผิวแพ้ง่าย หรือระคายง่ายนั้นควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่ไม่มีสารก่อการระคายเคือง เช่น พาราเบน แอลกอฮอล์ หรือน้ำหอม เป็นต้น หรืออาจะเลือกครีมกันแดดที่ระบุว่า “สำหรับผิวแพ้ง่าย” ที่เป็นกันแดดที่มีความอ่อนโยนกับผิวเป็นพิเศษ
การใช้ชีวิตประจำวันของเรานั้นก็เป็นอีกสิ่งที่ควรนำมาพิจารณาในการเลือกซื้อกันแดดด้วย เช่น ผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูง พร้อมกับใช้กันแดดแบบสเปรย์ทุก ๆ 1-2 ชั่วโมงในระหว่างวัน เพื่อป้องกันผิวจากแสงแดดให้ได้มากที่สุด หรือผู้ที่ทำงานในออฟฟิศ ทำงานที่บ้าน หรือในที่ที่ไม่ค่อยโดนแดด ก็อาจจะเลือกใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 30-50 และอาจจะทาครีมกันแดดเพิ่มในระหว่างวัน หรือใช้เป็นสเปรย์กันแดดฉีดซ้ำวันละ 1-2 ครั้ง ก็เพียงพอ เป็นต้น ดังนั้น ถ้าหากเลือกกันแดดไม่เหมาะสมกับชีวิตประจำวัน ก็อาจจะทำให้ผิวของเรานั้นไม่ได้รับการป้องกันจากแสงแดดอย่างเพียงพอ
ในปัจจุบันนั้นครีมกันแดดมีให้เลือกใช้หลากหลายขนาด ถ้าหากอยากลองใช้กันแดดแบรนด์ใหม่ ๆ หรือลองใช้ตัวที่ไม่เคยใช้มาก่อน ควรซื้อขนาดทดลอง หรือขนาดเล็กมาทดลองใช้สักพัก เพื่อสังเกตดูว่าเรามีอาการแพ้หรือไม่ ใช้แล้วเป็นอย่างไร หรือส่งผลอะไรต่อผิวได้หรือเปล่า เช่น เกิดการอุดตัน เป็นขุย มันเยิ้มได้ง่าย เป็นต้น เพราะถ้าหากผิวของเราเกิดอาการแพ้ จะได้ไม่เสียดายเงิน และเสียใจที่ซื้อขนาดใหญ่มาใช้นั่นเอง
ครีมกันแดดในปัจจุบันนั้นมีให้เลือกใช้หลากหลายแบรนด์ หลากหลายสัญชาติ จึงทำให้มีราคาที่ค่อนข้างหลากหลาย ซึ่งบางแบรนด์ก็อาจจะมีราคาสูงมาก บางแบรนด์ก็มีราคาที่สบายกระเป๋า ดังนั้น เราควรพิจารณาถึงคุณสมบัติ และส่วนผสมก่อนว่ามีประสิทธิภาพ หรือดีตามคำโฆษณาหรือไม่ และนำมาเปรียบเทียบว่าราคาที่เราจ่ายไปนั้นเหมาะสมกับสิ่งที่จะได้รับหรือเปล่า เพราะบางทีกันแดดที่ดีนั้นไม่ได้มีราคาสูงเสมอไป และไม่ได้หมายความว่ากันแดดที่แพงจะไม่ดี แต่เราควรดู และพิจารณาด้วยว่ากันแดดที่เรากำลังตัดสินใจซื้อมีราคาที่สมเหตุสมผลจริงหรือไม่
Photoderm Aquafluide SPF50+ เป็นครีมกันแดดสูตรน้ำนมที่เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย หรือระคายเคืองง่าย กันเหงื่อ กันน้ำได้ดี ไม่วอก ไม่ลอย ไม่เป็นคราบขาว ไม่มีส่วนผสมของพาราเบน และน้ำหอม มาพร้อมกับ Ectoin และ Mannitol ปกป้องผิวเสื่อมจาก UVA และสิทธิบัตร DAFTM COMPLEX ที่ช่วยเสริมให้ผิวมีความแข็งแรง และต้านทานต่อมลภาวะได้ดีขึ้น
Photoderm Cover Touch SPF50+ เป็นครีมกันแดดสีเนื้อ สูตร Mineral 100% เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวมัน ผิวผสม ผิวแพ้ง่าย หรือระคายง่าย ช่วยปกปิดรอยได้เรียบเนียน คุมมันได้นานถึง 8 ชั่วโมง และลดโอกาสในการเกิดสิว ทนเหงื่อ ทนความร้อน ทนความชื้น ไม่ระคายดวงตา และไม่ใส่น้ำหอม มาพร้อมกับเทคโนโลยี Sun Active Defense ที่ประกอบไปด้วย UV Filters, Ectoin และ Mannitol ที่ช่วยปกป้องผิวเสื่อมจาก UVA และมีสิทธิบัตร FLUIDACTIVTM ช่วยปรับคุณภาพน้ำมันบนผิว ช่วยลดโอกาสในการอุดตัน และความมันบนใบหน้า
ครีมกันแดด เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการดูแลผิวที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม เพราะรังสี UVA และ UVB จากแสงแดดของประเทศไทยนั้นอันตรายมากกว่าที่คิด ซึ่งหลังจากอ่านบทความนี้จบหลาย ๆ คนอาจจะได้เทคนิคในการเลือกกันแดดกันไปแล้วว่าควรเลือกอย่างไร และควรพิจารณาจากสิ่งไหนบ้าง ไม่ว่าจะเป็นประเภทของกันแดด รูปแบบของกันแดด หรือสภาพผิวของเรา รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวัน และปัจจัยอื่น ๆ ดังนั้น ทุกครั้งที่ควรซื้อกันแดดก็สามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ได้ เพื่อซื้อกันแดดได้เหมาะสมกับผิวของเรา และได้ประสิทธิภาพมากที่สุด