Key Takeaway

  • รอยสิวเป็นร่องรอยที่เกิดขึ้นหลังจากการอักเสบของสิว มีลักษณะเป็นจุดคล้ำ จุดแดงหรือเป็นหลุมบนผิวหนัง
  • รอยสิวมี 3 ประเภทหลัก ได้แก่ แบ่งเป็นรอยดำจากเม็ดสีเมลานินที่มีมากหลังการอักเสบของสิว รอยแดงจากเส้นเลือดฝอยส่งเลือดมาในบริเวณที่อักเสบ และหลุมสิวจากการสูญเสียเนื้อเยื่อและคอลลาเจนของผิว
  • รักษาความสะอาดเป็นประจำ ใช้ครีมลดรอยสิวที่มีส่วนผสมช่วยผลัดเซลล์ผิว และปกป้องผิวจากแสงแดดเพื่อลดโอกาสเกิดรอยสิวใหม่ได้

 


 

เบื่อกับรอยสิวที่คอยกวนใจใช่ไหม? หากกำลังมองหา วิธีลดรอยสิว หรือแนวทางที่ช่วยให้เห็นผลอย่างรวดเร็ว เช่น วิธีรักษารอยดำจากสิวเร็วที่สุด หรือวิธีลดโอกาสเกิดรอยสิวใหม่ บทความนี้ก็ได้รวบรวม 9 วิธีลดรอยสิวทั้งในระดับการป้องกันและเร่งด่วนไว้ให้แล้ว พร้อมทั้งคำอธิบายว่ารอยสิวคืออะไร มีกี่ประเภท และเคล็ดลับในการดูแลใบหน้าเพื่อลดการเกิดของรอยสิวด้วย

รอยสิวเกิดจากกระบวนการที่ผิวพยายามฟื้นบำรุงตัวเองหลังการอักเสบจากสิว โดยเมื่อผิวบริเวณที่เป็นสิวถูกกระทบ ไม่ว่าจะมาจากการกดสิวหรือแกะสิว ก็อาจจะยิ่งทำให้เกิดการบอบช้ำ ส่งผลให้เกิดรอยสิว รอยดำ แดง ด่างขึ้นมาได้
 

ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปรอยสิวก็สามารถหายไปเองได้ แต่ก็สามารถใช้สกินแคร์รูทีนที่มีสารไวท์เทนนิ่งช่วยให้รอยสิวหายไวมากขึ้น เช่น Vitamin C, Arbutin, Benzoyl Peroxide, Salicylic Acid, Retinoids หรือ Niacinamide เป็นตัวอย่าง

รอยสิวสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ รอยดำ รอยแดง และรอยหลุมสิว ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีลักษณะและสาเหตุที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับกระบวนการฟื้นบำรุงผิวและความรุนแรงของสิวที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้าด้วยว่าจะทำให้เกิดรอยสิวแบบไหนทิ้งเอาไว้
 

รอยดำจากสิว

รอยดำ มีลักษณะเป็นจุดสีแทน สีน้ำตาล สีเทา และสีดำบนผิวหน้า โดยเฉพาะบริเวณที่เคยเกิดสิว สาเหตุหลักของรอยดำคือการอักเสบของผิวใต้ชั้นหนังแท้ จนทำให้มีการผลิตเม็ดสีเมลานินเป็นจำนวนมากในบริเวณที่เกิดการอักเสบ หรือที่เรียกว่า (Post-Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH) 

ซึ่งมักจะเกิดจากการ แกะ แคะหรือบีบสิว โดยรอยดำจากสิวจะเห็นได้ชัดขึ้นเมื่อออกแดดและมักใช้เวลานานกว่าจะจางหายไป
 

รอยแดงจากสิว

รอยแดงจากสิว เกิดจากการอักเสบของผิว โดยกลไกการฟื้นบำรุงผิวของร่างกายจะส่งเลือดไปเลี้ยงบริเวณที่เกิดการอักเสบ ส่งผลให้หลอดเลือดใต้ผิวขยายตัวและเกิดอาการบวมในจุดที่เคยเป็นสิว ทำให้เห็นเป็นรอยสีชมพู แดง หรือม่วง (Post-inflammatory erythema) 

โดยรอยแดงนี้สามารถจางลงเองตามธรรมชาติ แต่ต้องใช้เวลา การดูแลอย่างเหมาะสมสามารถช่วยเร่งกระบวนการนี้ได้ แต่หากละเลยอาจมีโอกาสที่รอยแดงจะกลายเป็นปัญหาผิวที่คงอยู่ในระยะยาว

 

รอยหลุมสิว

รอยหลุมสิวมีลักษณะเป็นหลุมหรือร่องลึกบนผิวหน้า ซึ่งเกิดจากการสูญเสียเนื้อเยื่อในชั้นผิวจากสิวอักเสบที่รุนแรงหรือสิวหัวช้าง การอักเสบอย่างรุนแรงนี้ทำให้โครงสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวถูกทำลาย ส่งผลให้ผิวไม่สามารถกลับมาเรียบเนียนได้เหมือนเดิม รอยหลุมสิวมักต้องการการดูแลเฉพาะทางเพื่อช่วยฟื้นบำรุงผิวให้ดีขึ้น

การดูแลผิวพรรณอย่างถูกวิธีเป็นการลดปัญหาสิวและรอยสิวได้ มาดูเคล็ดลับ 9 ข้อที่น่าสนใจ เพื่อช่วยให้คุณมีผิวพรรณที่สวยใสสุขภาพดี
 

1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า หรือบีบสิว

การสัมผัสใบหน้าหรือบีบสิว อาจเพิ่มโอกาสให้เชื้อโรคและสิ่งสกปรกเข้าสู่รูขุมขน ซึ่งทำให้สิวอักเสบและเกิดรอยสิวตามมา ดังนั้น การหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าจึงช่วยลดโอกาสเกิดรอยสิวได้ดี
 

2. ทำความสะอาดผิวหน้า ให้สะอาดหมดจด

การทำความสะอาดผิวสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง โดยในตอนเย็นก็ควรทำ Double Cleansing ด้วย เพื่อที่จะขจัดคราบสิ่งสกปรกและเครื่องสำอางออกไปให้หมดจด การทำความสะอาดอย่างเหมาะสมจะช่วยลดการอุดตัน ลดการเกิดรอยสิว ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของรอยสิวได้เป็นอย่างดี
 

3. บำรุงผิวด้วยสกินแคร์รูทีน

การใช้สกินแคร์รูทีนที่เหมาะสม จะช่วยเสริมให้ผิวแข็งแรงและมีสุขภาพดี เมื่อผิวสมดุล โอกาสเกิดสิวและรอยสิวจะลดลงตามไปด้วย
 

- เช็ดโทนเนอร์

โทนเนอร์ (Toner) หรือน้ำตบ อย่าง Sebium lotion เป็นผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง และช่วยให้การบำรุงในขั้นตอนถัดไปซึมลึกเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการเริ่มสกินแคร์รูทีนด้วยการเช็ดโทนเนอร์ก่อนบำรุงผิวจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับการบำรุงในขั้นตอนต่อไป

 

- ครีมแต้มสิวเฉพาะจุด

ครีมแต้มสิวเฉพาะจุดเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการอักเสบ ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียสาเหตุของสิว ทำให้สิวยุบตัวเร็วขึ้น และลดโอกาสเกิดรอยสิวใหม่ ซึ่งการใช้ครีมแต้มสิว ควรแต้มเฉพาะบริเวณที่มีสิว หลังจากทำความสะอาดผิวหน้าและลงโทนเนอร์ เพื่อให้ส่วนผสมในเจลซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนขั้นตอนการบำรุงผิวอื่นๆ

 

- ทาเซรั่มบำรุงผิว

ผลิตภัณฑ์เซรั่มลดโอกาสเกิดสิวอย่าง Sébium Serum จะช่วยลดโอกาสการเกิดรอยสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยโมเลกุลที่เล็กทำให้สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างล้ำลึก ช่วยฟื้นบำรุงผิวและลดโอกาสการเกิดรอยสิวได้ดี แถมยังช่วยเติมความชุ่มชื้น มาพร้อมกับเทคโนโลยี FluidActivTM ช่วยปรับสมดุลคุณภาพน้ำมัน ลดการอุดตัน และส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก ที่ช่วยสลายสิวอุดตัน กระชับรูขุมขน 

ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเกิดสิว นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของ NAC (Acetylglucosamine) ที่ช่วยทำให้รอยสิวดูจางลง ทำให้เซรั่มเป็นตัวช่วยที่ตอบโจทย์ทั้งการลดรอยสิวและการลดโอกาสการเกิดสิวใหม่ได้อย่างครบครัน

 

- ปิดท้ายด้วยมอยส์เจอไรเซอร์

มอยส์เจอไรเซอร์จะเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการบำรุงผิว โดยผลิตภัณฑ์อย่าง Sébium Pore Refiner ก็สามารถช่วยจัดการปัญหารูขุมขนกว้างและควบคุมคุณภาพของน้ำมันใต้ผิวหนัง ช่วยป้องกันการอุดตันของรูขุมขนและการเกิดสิว 


 

4. ทาครีมกันแดดเป็นประจำ

การทาครีมกันแดดเป็นประจำช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB ที่สามารถทำให้รอยสิวดำและหมองคล้ำมากขึ้นได้ โดยควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง อย่าง Bioderma Photoderm Aquafluide SPF50+  ที่มีเทคโนโลยี SUN ACTIVE DEFENSE ช่วยปกป้องผิวจากรังสี พร้อมควบคุมความมันและให้ความชุ่มชื้น ซึ่งสำคัญในการลดการเกิดรอยสิว 

ทั้งนี้ควรทาครีมกันแดดในปริมาณ 2 ข้อนิ้วต่อครั้ง และทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมงเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดดและป้องกันรอยสิวที่อาจจะดำขึ้นจากการโดนแดด

 

5. เลเซอร์รักษารอยสิว

เลเซอร์เป็นวิธีรักษารอยดําจากสิวเร่งด่วนและเร็วที่สุด เมื่อเทียบกับการทาครีม เนื่องจากสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและการผลัดเซลล์ผิวได้อย่างรวดเร็ว ช่วยลดความหมองคล้ำและรอยสิวได้อย่างเห็นผลในเวลาอันสั้น โดยเลเซอร์จะทำลายเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพและกระตุ้นการฟื้นบำรุงผิวใหม่ ทำให้รอยสิวดูจางลงและผิวเรียบเนียนขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

6. ทานอาหารที่มีประโยชน์ 

อาหารที่มีไขมันโอเมกา 3 เช่น ปลาแซลมอนและทูน่าสามารถช่วยลดการอักเสบที่อาจเกิดขึ้นบนผิวหนังและลดความเสี่ยงในการเกิดรอยสิว อีกทั้งการทานผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามิน C และ A ก็ช่วยเสริมสร้างสุขภาพผิวให้แข็งแรงและลดรอยสิวได้ 

นอกจากนี้ การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูงและผลิตภัณฑ์จากนมก็ช่วยลดการเห่อของสิวและการอุดตันของรูขุมขนที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวและรอยสิวได้เป็นอย่างดี
 

7. พักผ่อนให้เพียงพอ

การพักผ่อนให้เพียงพอ 8-9 ชั่วโมงต่อวันจะเป็นวิธีสำคัญในการลดการเกิดสิวและรอยสิว เนื่องจากเมื่อร่างกายได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยลดการอักเสบและการสะสมของแบคทีเรียที่อาจทำให้เกิดสิวได้ นอกจากนี้ การนอนหลับที่มีคุณภาพยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนซึ่งช่วยในการฟื้นบำรุงผิวและลดรอยสิว ทำให้ผิวดูเรียบเนียนมากขึ้นด้วย
 

8. ดื่มน้ำให้ครบ 8 แก้วต่อวัน

การดื่มน้ำให้ครบ 8 แก้วต่อวันช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้นและมีสุขภาพดี น้ำจะช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายและช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ช่วยให้ผิวฟื้นบำรุงตัวเองได้เร็วขึ้น ลดการเกิดสิวและเร่งการรักษารอยสิว นอกจากนี้การดื่มน้ำอย่างเพียงพอยังช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันส่วนเกินบนผิวที่อาจทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวอักเสบด้วย
 

9. ผ่อนคลาย ลดความเครียด

ความเครียดจะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) และแอนโดรเจน (Androgens) ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการทำให้เกิดสิวเครียดขึ้นมาได้ การผ่อนคลายช่วยลดระดับฮอร์โมนจึงส่งผลให้สิวลดลงและลดรอยสิวและเร่งให้หายเร็วยิ่งขึ้นได้

 

สรุป

รอยสิวเกิดจากการอักเสบของผิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน โดยทั่วไปจะมี 3 ประเภทหลัก ได้แก่ รอยดำ (Post-inflammatory hyperpigmentation) ซึ่งเกิดจากการสะสมของเม็ดสีในผิวหนังหลังการอักเสบ และรอยแดง (Post-inflammatory erythema) ซึ่งเกิดจากการขยายตัวของเส้นเลือดที่ผิวหนัง และหลุมสิว เกิดจากการสูญเสียเนื้อเยื่อในชั้นผิว

การรักษาความสะอาดผิวหน้าและการบำรุงผิวอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญในการลดการเกิดรอยสิว เพราะจะช่วยป้องกันการอุดตันของรูขุมขนและลดการอักเสบที่อาจทำให้เกิดรอยสิวได้ นอกจากนี้ การปรับพฤติกรรมที่กระตุ้นการเกิดสิว เช่น การสัมผัสหน้าบ่อยๆ หรือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวก็จะช่วยลดการเกิดรอยสิวได้เช่นกัน

ในส่วนนี้จะตอบคำถามที่พบได้บ่อยเกี่ยวกับการลดรอยสิวเพื่อช่วยให้เข้าใจวิธีการดูแลและฟื้นบำรุงผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide Salicylic Acid หรือ Retinoids จะสามารถช่วยให้การลดรอยสิวอย่างเร่งด่วนเกิดได้เร็วขึ้น

รอยดำจากสิวมักจะหายช้าหากเกิดการสะสมของเม็ดสีจากการอักเสบลึกในชั้นผิว ซึ่งจะต้องใช้การผลัดเซลล์ผิวโดยธรรมชาติร่างกายจึงจะสามารถลดรอยสิวให้หายไปเองได้

การจางลงของรอยสิวขึ้นอยู่กับลักษณะและการดูแลผิวแต่ละบุคคล โดยทั่วไปรอยสิวจะเริ่มลดลงในช่วง 2-4 เดือน

การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอักเสบ เช่น เรตินอลและวิตามิน C รวมถึงการสครับและมาสก์หน้าที่ช่วยฟื้นบำรุงผิว

Bioderma ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซีเบี่ยม

ทำความสะอาดและบำรุงผิว

ผิวผสมถึงผิวเป็นสิวง่าย

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซีเบี่ยม (Sébium)

Bioderma ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซีเบี่ยม

ผิวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เนื่องจากผิวจะมีความหนามากขึ้น มันเงา เกิดสิวอักเสบเป็นจุดมากน้อยแตกต่างกันไป และบางครั้งก็ยังคงเป็นเช่นนั้นต่อเนื่องไปจนถึงวัยผู้ใหญ่อีกด้วย

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซีเบี่ยม (Sébium) เป็นผลิตภัณฑ์ที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อผิวมันและเป็นสิวง่ายโดยเฉพาะ
ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซีเบี่ยม (Sébium) มีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและดูแลผิวที่แพทย์ผิวหนังแนะนำโดยเฉพาะ ทั้งผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าสำหรับผิวมัน อย่างเจลล้างหน้าและไมเซล่า วอเตอร์ มอยส์เจอไรเซอร์สำหรับผิวเป็นสิวง่าย และอื่นๆ อีกมากมาย เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวประจำวันให้ตัวคุณเลย!