KEY TAKEAWAYS

  • กลิ่นตัว เกิดจากหงื่อทำปฏิกิริยากับแบคทีเรียบนผิวหนังจะเกิดขึ้นเวลาที่ร่างกายมีเหงื่อออก ส่งผลให้เกิดกลิ่นเหม็นเปรี้ยว หรือเหม็นอับ โดยเฉพาะบริเวณรักแร้ ขาหนีบ หรือฝ่าเท้า

  • วิธีแก้กลิ่นตัวแรง ลดกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ทั้งหญิงและชาย คือ การรักษาความสะอาดในทุกส่วนของร่างกายอย่างสม่ำเสมอ, ไม่สวมใส่ชุดที่มีกลิ่นอับ, ลดความเครียด และเลี่ยงการกินอาหารที่รสจัด มีเครื่องเทศเยอะ

 


 

แม้จะเข้าสู่หน้าฝนแล้ว แต่ปัญหากลิ่นตัวแรงก็ยังตามมากวนใจไม่ต่างจากหน้าร้อน เพราะสาเหตุของกลิ่นตัวไม่ได้มาจากเหงื่อเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น ฮอร์โมน แบคทีเรียบนผิวหนังไม่สมดุล หรืออาหารที่รับประทานเข้าไป ทำให้มีกลิ่นตัว และยิ่งกลิ่นเหล่านี้รวมกับกลิ่นเสื้อผ้าที่อับชื้นจากฝน ก็จะยิ่งทำให้กลิ่นตัวแรงขึ้น จนหลายคนสูญเสียความมั่นใจ บทความนี้จึงจะมาบอกต่อวิธีแก้ปัญหากลิ่นตัวแรงที่สามารถทำตามได้ง่ายๆ จะเป็นอย่างไร ตามไปดูกัน
 

กลิ่นตัว เป็นอย่างไร

กลิ่นตัว คือ กลิ่นของเหงื่อที่ทำปฏิกิริยากับแบคทีเรียบนผิวหนัง จึงมักเกิดขึ้นเวลาที่ร่างกายมีเหงื่อออก ส่งผลให้เกิดกลิ่นเหม็นเปรี้ยว หรือเหม็นอับ โดยเฉพาะบริเวณที่มีต่อมเหงื่อมาก ไม่ว่าจะเป็นบริเวณรักแร้ ขาหนีบ หรือฝ่าเท้า โดยกลิ่นตัวเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย และไม่ได้เกิดกับคนที่เหงื่อออกมากเท่านั้น คนที่เหงื่อออกน้อยก็อาจมีกลิ่นตัวได้เช่นกัน

กลิ่นตัวเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่หากกลิ่นตัวแรงผิดปกติ จนคนรอบข้างทัก รู้สึกขาดความมั่นใจ  ควรหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร โดยมีปัจจัยหลักๆ ดังนี้

แบคทีเรียบนผิวหนังไม่สมดุล 

  • แบคทีเรียบนผิวหนังไม่สมดุล ผิวหนังของคนเรามีทั้งแบคทีเรียชนิดที่ดีและไม่ดีอยู่รวมกัน ถ้าหากแบคทีเรียชนิดไม่ดีมีจำนวนมาก เมื่อสัมผัสกับเหงื่อแม้เพียงน้อยนิด ก็จะทำให้กลิ่นตัวรุนแรงขึ้นได้
     

อาหารที่มีกลิ่นฉุน 

  • อาหารที่มีกลิ่นฉุน อาหารที่มีปริมาณซัลเฟอร์สูง หรือมีกลิ่นแรงมากๆ เช่น หัวหอม กระเทียม กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี เครื่องเทศ เป็นต้น จะทำให้เหงื่อที่ออกมามีกลิ่น นอกจากนี้ อาหารบางชนิดยังทำให้เหงื่อออกมากขึ้นด้วย เช่น อาหารรสเผ็ดจัด เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์

 

ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ

  • ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis) คนกลุ่มนี้มักจะมีกลิ่นตัวแรงกว่าคนทั่วไป เนื่องจากมีเหงื่อออกมากแม้ไม่ได้สัมผัสกับอากาศร้อน โดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า แผ่นหลัง รักแร้ ทำให้เกิดความอับชื้น 

 

ฮอร์โมน 

  • ฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนก็ส่งผลต่อกลิ่นตัวได้ เช่น กลิ่นตัวแรงในผู้หญิง โดยเฉพาะในช่วงที่ตั้งครรภ์ มีประจำเดือน หรือเข้าสู่วัยทอง อาจทำให้เหงื่อออกมากกว่าปกติ กลิ่นตัวแรงขึ้นหรือเปลี่ยนไปจากเดิม ส่วนผู้ชายมักมีกลิ่นตัวแรงเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น

 

โรคต่างๆ

  • โรคต่างๆ กลิ่นตัวอาจเกิดจากปัญหาสุขภาพ เช่น โรคเบาหวาน โรคเกาต์ โรคตับ โรคไต ไทรอยด์เป็นพิษ โรคอ้วน ความเครียดสะสม รวมถึงการทานยาบางชนิด

ผู้ชายมักจะมีกลิ่นตัวแรงกว่าผู้หญิง เพราะโดยทั่วไปผู้ชายจะมีเส้นขนมากกว่า ทำให้เกิดความอับชื้น เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรีย นอกจากนี้ฮอร์โมนแอนโดรเจนของผู้ชายยังกระตุ้นการทำงานของต่อมกลิ่น (Apocrine Glands) ซึ่งเป็นต่อมเหงื่อที่สร้างกลิ่นเฉพาะเป็นลักษณะทางเพศ โดยเหงื่อที่ออกมาจะมีลักษณะเหลวข้น ไม่มีกลิ่น แต่มีส่วนประกอบของโปรตีนและกรดไขมันหลายชนิด เมื่อสัมผัสกับแบคทีเรียที่อยู่บนผิวหนัง แบคทีเรียจะย่อยสลายสารประกอบในเหงื่อ ทำให้เกิดสารที่มีกลิ่นแรง ดังนั้นผู้หญิงบางคนที่มีฮอร์โมนผู้ชายเยอะ ก็อาจมีกลิ่นตัวแรงได้เช่นกัน 

เพื่อไม่ให้ปัญหากลิ่นตัวมาคอยกวนใจ ไปดูกันเลยว่าวิธีดับกลิ่นตัวผู้หญิงและผู้ชาย ที่สามารถทำได้ง่ายๆ ทุกวัน มีอะไรบ้าง
 

1. อาบน้ำวันละ 2 ครั้ง

วิธีแก้กลิ่นตัวเหม็นเปรี้ยวที่ดีที่สุด คือ การรักษาความสะอาดอยู่เสมอ ด้วยการอาบน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น  เพื่อชำระล้างแบคทีเรียที่เกาะตามผิวหนัง โดยเฉพาะผู้ที่เหงื่อออกเยอะ ต้องทำความสะอาดบริเวณรักแร้ ขาหนีบ ข้อพับ เป็นพิเศษ

โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิวอย่าง Atoderm Gel douche เจลอาบน้ำช่วยทำความสะอาดผิว ลดโอกาสทำให้ผิวแห้งตึงหรือระคาย พร้อมมอบความชุ่มชื้นให้ผิวเนียนนุ่ม เสริมปราการผิวให้ดูแข็งแรง และยังมีส่วนผสมของ Copper Sulfate ที่ช่วยลดโอกาสเกิดการสะสมของแบคทีเรียได้อีกด้วย
 

2. เช็ดตัวให้แห้งทุกครั้ง ก่อนสวมเสื้อผ้า

แบคทีเรียส่วนใหญ่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง หลังอาบน้ำจึงควรเช็ดตัวให้แห้งสนิท เพื่อลดความชื้นบนผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณที่มีรอยพับ เช่น รักแร้ ขาหนีบ เป็นต้น จะช่วยลดการเกิดกลิ่นอับของเสื้อผ้าได้ด้วย
 

3. ไม่สวมใส่ชุดที่มีกลิ่นอับชื้น

กลิ่นเหม็นอับของเสื้อผ้ามาจากความชื้น เชื้อรา และแบคทีเรียต่างๆ พอมาเจอกับเหงื่อและกลิ่นตัวก็ยิ่งทำให้กลิ่นแรงขึ้นแบบคูณสอง ดังนั้น จึงควรสวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด เลือกเนื้อผ้าที่โปร่งสบาย ระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน เพื่อช่วยลดความอับชื้นจากเหงื่อ

หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าซ้ำๆ โดยไม่ได้ซัก หากเสื้อผ้ามีเหงื่อเยอะ อย่างชุดออกกำลังกาย หลังใช้งานเสร็จควรรีบนำไปซัก เพราะยิ่งทิ้งไว้นานกลิ่นจะติดเข้าไปในเส้นใย ทำให้ซักเท่าไรก็ไม่หายเหม็น
 

4. ลดความเครียด

เมื่อร่างกายเครียดมากๆ สมองจะตอบสนองด้วยการหลั่งสารอะดรีนาลีน และคอร์ติซอลออกมา ทำให้หัวใจเต้นเร็ว กระตุ้นให้ต่อมเหงื่อทำงานและผลิตเหงื่อออกมามากขึ้น โดยเฉพาะเหงื่อจากต่อมกลิ่นที่เป็นสาเหตุหลักของกลิ่นตัวแรง วิธีที่จะช่วยลดกลิ่นตัวจึงต้องหมั่นหาเวลาพักผ่อน หรือทำกิจกรรมที่ช่วยเพิ่มความผ่อนคลาย เช่น ออกไปเดินเล่น ฟังเพลง วาดรูป เป็นต้น
 

5. เลี่ยงการกินอาหารที่รสจัด มีเครื่องเทศเยอะ

อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้กลิ่นตัว สังเกตได้ว่าคนแต่ละประเทศก็จะมีกลิ่นตัวแตกต่างกัน เพราะเมื่ออาหารผ่านกระบวนการย่อย สารระเหยที่เป็นส่วนประกอบของอาหารเหล่านี้จะถูกขับออกจากร่างกายมาพร้อมกับเหงื่อ และลมหายใจ อีกทั้งอาหารบางชนิดยังทำให้เกิดกลิ่นตัวที่รุนแรงมากเป็นพิเศษ อาทิ อาหารที่มีกลิ่นฉุน และอาหารที่มีซัลเฟอร์สูง ดังนั้น หากไม่อยากมีกลิ่นตัว ก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร         ดังนี้ 

  • อาหารรสจัด เช่น ยำ เครื่องแกงต่างๆ มักจะมีส่วนผสมของเครื่องเทศ หรือผักที่มีกลิ่นฉุนเยอะ อีกทั้งรสชาติที่เผ็ดร้อนยังกระตุ้นให้เหงื่อออกมากขึ้นด้วย
     
  • หอม กระเทียม มีสารประกอบซัลเฟอร์ เมื่อย่อยสลายแล้วจะทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ และถูกขับออกมาทางเหงื่อ อีกทั้งสารประกอบซัลเฟอร์ยังสะสมในร่างกายได้นาน ทำให้เกิดกลิ่นตัวยาวนานหลายชั่วโมง
     
  • ผักกะหล่ำ แม้จะดูเป็นผักที่ไม่มีกลิ่น แต่กะหล่ำปลีก็มีสารประกอบซัลเฟอร์สูง เมื่อรับประทานมากๆ จึงทำให้เกิดกลิ่นตัวได้เหมือนกัน
     
  • เนื้อ กระบวนการย่อยสลายอาหารจำพวกโปรตีน โดยเฉพาะเนื้อแดง จะทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ และเมื่อเจอกับแบคทีเรียบนผิวหนังก็จะทำให้กลิ่นแรงขึ้นอีก
     
  • แอลกอฮอล์ เมื่อดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป ร่างกายจะพยายามกำจัดแอลกอฮอล์ผ่านระบบต่างๆ โดยเฉลี่ยประมาณ 95% จะถูกย่อยสลายโดยตับ ส่วนที่เหลือจะถูกขับออกจากร่างกายผ่านปัสสาวะ เหงื่อ และลมหายใจ หากดื่มมากก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะกำจัดออกหมด จึงทำให้กลิ่นตัวแรงและติดตัวนาน 
     

6. เลือกกินอาหารลดกลิ่นตัว

เมื่อมีอาหารที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว ก็มีอาหารที่ช่วยลดกลิ่นตัวได้เช่นกัน เป็นอีกหนึ่งวิธีดับกลิ่นตัวทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ที่เกือบจะหายถาวร คนที่ปัญหากลิ่นตัวแรง ควรเลือกทานอาหาร ดังนี้

  • ผัก มีไฟเบอร์สูง ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ลดการสะสมของสารพิษ และสารที่มีกลิ่นแรง
     
  • ผลไม้ เช่นเดียวกับผัก ผลไม้ก็เป็นแหล่งอาหารที่มีไฟเบอร์สูง และยังอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยรักษาสมดุลของผิว ทำให้ผิวหนังมีสุขภาพดี
     
  • อาหารกากใยสูง เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด ถั่ว ธัญพืชไม่ขัดสี ช่วยให้การย่อยอาหารดีขึ้น กระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้สารประกอบที่มีกลิ่นแรงถูกขับออกไปกับอุจจาระ และถูกขับออกทางเหงื่อน้อยลง ลดโอกาสเกิดกลิ่นตัวจากเหงื่อได้
     
  • ชาเขียว เป็นเครื่องดื่มที่มีคุณสมบัติช่วยลดกลิ่นตัว กลิ่นปาก และกลิ่นเท้าได้ดี อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยลดการสะสมของสารพิษ และมีกลูตาไธโอนที่ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายอีกด้วย
     
  • น้ำมันมะกอก มีกรดไขมันโอเลอิกสูง ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยลดการเจริญเติบโตของเชื้อรา และแบคทีเรียบนผิวหนัง 
     

7. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

การดื่มน้ำ เป็นวิธีแก้กลิ่นตัวแรงที่ทำได้ง่ายๆ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เพราะน้ำจะช่วยขับสารพิษและกลิ่นต่างๆ ออกจากร่างกายทางเหงื่อ หากดื่มน้ำเพียงพอ กลิ่นเหล่านี้ก็จะถูกเจือจาง ทำให้กลิ่นเบาบางลง แต่หากดื่มน้ำน้อย กลิ่นก็จะมีความเข้มข้นสูง ทำให้กลิ่นตัวแรง นอกจากนี้การดื่มน้ำยังช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย ทำให้เหงื่อออกน้อยลงด้วย ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำ 8-10 แก้ว หรือประมาณ 1.5-2 ลิตรต่อวัน

ปัญหากลิ่นตัวแรงสามารถแก้ไขได้เองไม่ยาก แต่ลักษณะของกลิ่นตัวหากลองทุกวิธีแล้วกลิ่นตัวยังแรงอยู่ ควรไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการที่สะท้อนถึงความผิดปกติของร่างกาย โดยสังเกตได้จากกลิ่นตัวที่มีลักษณะ ดังนี้

  • กลิ่นละมุด หรือกลิ่นเหมือนเพิ่งดื่มแอลกอฮอล์มา หากเกิดขึ้นโดยที่ไม่ได้ดื่ม อาจมีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบขับถ่าย เป็นโรคตับ หรือโรคไต 
     
  • กลิ่นไข่เน่า มักมีสาเหตุมาจากระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดี ลำไส้มีปัญหา ท้องผูก เกิดการสะสมของเสียในร่างกาย
     
  • กลิ่นคาวปลา เกิดจากการทานอาหารที่มีแบคทีเรียมากเกินไป เช่น อาหารหมักดอง ปลาร้า ปลาส้ม แหนม เป็นต้น
     
  • กลิ่นเหม็นเขียว แสดงว่าตับอาจจะมีปัญหา
     
  • กลิ่นผลไม้ เป็นสัญญาณของโรคเบาหวาน เนื่องจากร่างกายเผาผลาญไขมันมาใช้เป็นพลังงานแทนน้ำตาล ทำให้น้ำตาลสะสมอยู่ในเลือดเพิ่มขึ้น
     

สรุป

กลิ่นตัวแรง ปัญหาที่คอยกวนใจทุกฤดู เกิดจากการที่เหงื่อสัมผัสกับแบคทีเรียบนผิวหนัง ทำให้เกิดกลิ่นฉุน เหม็นเปรี้ยว จนใครๆ ก็ไม่อยากอยู่ใกล้ เมื่อเป็นแล้วไม่ควรละเลย สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการดื่มน้ำมากๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นฉุน อาหารรสจัด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และหมั่นรักษาความสะอาดอยู่เสมอ ด้วย Atoderm Gel douche เจลอาบน้ำสูตรอ่อนโยน ที่ช่วยทำความสะอาด มอบความชุ่มชื้น  และปกป้องผิวได้ยาวนาน ให้ความรู้สึกสดชื่น สบายผิว มั่นใจตลอดวัน

คลีนเซอร์แบบล้างออก

ผิวธรรมดาถึงผิวแห้งแพ้ง่าย

สิทธิบัตร Skin Protect Complex

Atoderm Gel douche

เจลอาบน้ำปราศจากสบู่ สูตรอ่อนโยนต่อปราการผิว

สำหรับใคร

สำหรับทุกคนในครอบครัว (ยกเว้นทารกที่คลอดก่อนกำหนด)