เชื่อว่าหลายคนรู้กันดีอยู่แล้วว่าโทนเนอร์และคลีนซิ่งเป็น Skincare Routine ที่ขาดไม่ได้ในปัจจุบัน เพราะช่วยทั้งทำความสะอาดและบำรุงผิว อย่างไรก็ตามเนื่องจากคุณสมบัติที่ใช้เช็ดทำความสะอาดเหมือนกัน ทำให้หลายคนสับสนว่าโทนเนอร์และคลีนซิ่งเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกันหรือไม่? โทนเนอร์กับคลีนซิ่งต่างกันยังไง?บทความนี้จะพาไปหาคำตอบ

ก่อนไปดูว่าโทนเนอร์กับคลีนซิ่งต่างกันยังไง ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า “โทนเนอร์”  คือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหลังการล้างหน้า ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผิวหน้าสะอาดมากขึ้นแล้ว ในโทนเนอร์ยังมีส่วนผสมของสารบำรุงที่ช่วยให้ผิวความชุ่มชื้น และปรับสภาพผิวให้พร้อมรับการบำรุงด้วยครีมบำรุงผิวในขั้นตอนต่อไป แต่เนื่องจากสภาพผิวแต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน ดังนั้นจึงควรเลือกใช้โทนเนอร์ที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเองเพื่อประสิทธิภาพในการบำรุง และลดโอกาสเกิดการระคายผิว

ประเภทของโทนเนอร์

แม้ว่าโทนเนอร์ในปัจจุบันจะมีให้เลือกมากมายหลายสูตร แต่หากแบ่งตามคุณสมบัติของโทนเนอร์สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้

  • โทนเนอร์ทำความสะอาดผิว มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม จึงมีคุณสมบัติในการทำความสะอาดได้ดี ทั้งสิ่งสกปรก ฝุ่นละออง และเครื่องสำอาง
  • โทนเนอร์บำรุงผิว มีส่วนผสมของสารบำรุงผิว ทำให้ช่วยทั้งทำความสะอาด บำรุงผิวหน้าให้แข็งแรง และชุ่มชื้นมากขึ้น
  • โทนเนอร์ช่วยลดโอกาสเกิดสิว มีส่วนผสมสาร Salicylic Acid หรือ BHA ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติที่ช่วยลดการเกิดสิว และกระชับรูขุมขน รวมถึงลดรอยแดงรอยดำจากสิวด้วย

วิธีเลือกใช้โทนเนอร์ให้เหมาะกับสภาพผิว

การใช้โทนเนอร์ควรเลือกที่เหมาะสมกับสภาพผิว เนื่องด้วยมีส่วนผสมที่เหมาะกับสภาพผิวแต่ละประเภท อีกทั้งยังลดโอกาสเกิดการระคายผิว โดยสภาพผิวแต่ละแบบควรเลือกใช้โทนเนอร์ดังนี้

  • ผิวแห้ง ควรเลือกใช้โทนเนอร์ที่มีสารบำรุงที่มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น แต่ควรหลีกเลี่ยงโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ผิวแห้ง และเกิดริ้วรอยมากขึ้น
  • ผิวมันหรือผิวผสม ควรเลือกใช้โทนเนอร์ที่มีคุณสมบัติทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึก เพื่อกำจัดความมันบนใบหน้า ซึ่งนอกจากจะทำให้ผิวสะอาดมากขึ้นแล้ว ยังลดการเกิดสิวอีกด้วย 
  • ผิวธรรมดา สามารถใช้โทนเนอร์ได้ทุกสูตร เพราะผิวลักษณะนี้จะไม่มีปัญหาผิวมันและแห้ง 
  • ผิวแพ้ง่าย ควรเลือกใช้โทนเนอร์ที่มีค่า pH เท่ากับผิว เพื่อลดโอกาสเกิดการระคายผิว และการอักเสบ

ขั้นตอนการใช้โทนเนอร์

ลำดับการใช้โทนเนอร์จะใช้หลังจากล้างหน้า ซึ่งมีลำดับขั้นตอนดังต่อไปนี้

  • หลังจากทำความสะอาดหน้าด้วยคลีนเซอร์แล้ว ให้ซับหน้าให้แห้งด้วยกระดาษทิชชูหรือผ้าสำหรับเช็ดหน้า
  • หยดโทนเนอร์ลงบนสำลีสำหรับเช็ดหน้า และใช้นิ้วนางกับนิ้วชี้หนีบสำลีไว้ โดยไม่ให้นิ้วถูกโทนเนอร์ เนื่องจากจะทำให้แผ่นสำลีสกปรก
  • จากนั้นใช้สำลีที่มีโทนเนอร์ เช็ดทีละครึ่งหน้า โดยการเช็ดจากด้านล่างขึ้นข้างบน เพื่อเปิดรูขุมขนให้สารบำรุงจากโทนเนอร์ซึมเข้าสู่ผิวได้ง่ายขึ้น 

การใช้โทนเนอร์ที่ถูกต้อง

การใช้โทนเนอร์ที่ถูกต้อง และได้ประสิทธิภาพสูงสุด ในช่วงเช้า-ช่วงเย็นจะมีเคล็ดลับ ดังนี้

  • ช่วงเช้า - ให้ใช้โทนเนอร์หลังจากล้างหน้า แต่อย่าปล่อยให้หน้าแห้งเอง ควรรีบซับหน้าให้แห้งด้วยกระดาษทิชชู หรือผ้าเช็ดหน้า จากนั้นจึงใช้โทนเนอร์ และตามด้วยครีมบำรุงผิว
  • ช่วงเย็น - ให้ใช้หลังจากเช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอาง ล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์ออกจนหมด จากนั้นจึงค่อยเช็ดด้วยโทนเนอร์ เนื่องจากผิวหน้าผ่านการทาครีมบำรุงผิว แต่งหน้าด้วยเครื่องสำอาง และมลพิษมาตลอดทั้งวัน จึงต้องทำความสะอาดมากกว่าในช่วงเช้า

ประโยชน์ของโทนเนอร์คืออะไร

ด้วยลักษณะของคลีนซิ่งกับโทนเนอร์ที่มีความใกล้เคียงกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บางคนเข้าใจว่าคลีนซิ่งกับโทนเนอร์เหมือนกัน หรือเลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วทั้งสองมีประโยชน์แตกต่างกัน โดยโทนเนอร์มีประโยชน์ดังนี้

  • โทนเนอร์ช่วยทำความสะอาดสิ่งสกปรก ฝุ่นละออง ความมันตกค้าง และเครื่องสำอางที่หลงเหลือจากการทำความสะอาดด้วยคลีนเซอร์ ทำให้ผิวสะอาดมากขึ้น
  • ช่วยลดการอุดตันในรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสิว
  • ช่วยปรับสภาพผิวให้เปิดรับสารบำรุงผิวจากครีมบำรุงในขั้นตอนต่อไปได้ดียิ่งขึ้น
  • สารบำรุงในโทนเนอร์ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ฟื้นฟูผิว และผลัดเซลล์ผิวเก่า ทำให้ผิวกลับมาดูแข็งแรงสุขภาพดี

คลีนซิ่ง ไอเทมจำเป็นของการทำความสะอาดผิว

คลีนซิ่ง (cleansing) ที่หลายคนเรียกว่า Make up Remover หรือ Remover เป็นผลิตภัณฑ์เช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอาง เนื่องจากปัจจุบันในครีมทาผิว และเครื่องสำอางมักมีคุณสมบัติกันน้ำเพื่อช่วยให้ติดทนนาน หากไม่ใช้คลีนซิ่งทำความสะอาด จะทำให้ผิวไม่สะอาด และเกิดการอุดตัน นอกจากนี้ยังขัดขวางการซึมซับสารบำรุงผิว ทำให้ไม่ได้การบำรุงอย่างเต็มที่ และที่สำคัญยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวได้อีกด้วย

คลีนซิ่งมีกี่ประเภท

เพื่อให้ทุกคนทำความเข้าใจว่าคลีนซิ่งกับโทนเนอร์ต่างกันยังไง มาดูกันว่าคลีนซิ่งมีกี่แบบ ซึ่งหากแบ่งตามคุณสมบัติสามารถแบ่งได้เป็น 7 ประเภท ดังนี้

คลีนซิ่งวอเตอร์  

ลักษณะเนื้อเหลวเหมือนน้ำใสเหมาะสำหรับคนที่มีผิวมัน เพราะไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือมีน้อยมาก จึงทำให้ไม่รู้สึกเหนียวหน้า และไม่มีความมันตกค้าง

คลีนซิ่งออยล์ 

ลักษณะเป็นน้ำมันใสเหมาะสำหรับทุกสภาพผิว โดยมีส่วนผสมของ Mineral Oil และ Emulsifier และต้องล้างออกด้วยน้ำสะอาดภายหลัง เพราะทำให้รู้สึกหน้ามันหลังใช้ สำหรับคลีนซิ่งประเภทนี้สามารถทำความสะอาดเครื่องสำอางที่มีคุณสมบัติกันน้ำได้ดี 

คลีนซิ่งแผ่น 

ลักษณะเป็นแผ่นเช็ดทำความสะอาดคล้ายกับทิชชูเปียก เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว และสะดวกต่อการใช้งานนอกสถานที่ เพราะสามารถดึงมาเช็ดหน้าลบเครื่องสำอางได้เลย แต่เวลาใช้ไม่ควรถูหน้าแรง และต้องเปลี่ยนแผ่นคลีนซิ่งทันทีเมื่อคราบเครื่องสำอางเต็มแผ่น

คลีนซิ่งเจล 

ลักษณะเป็นเนื้อเจลสีใสหรือขุ่น มีทั้งแบบที่มีน้ำมัน และไม่มีน้ำมัน มีส่วนผสมของสารบำรุงผิว  เหมาะสำหรับผิวธรรมดา ผิวแพ้ง่าย และผิวมัน

คลีนซิ่งมิลค์ 

ลักษณะเป็นเนื้อโลชั่นแต่จะไม่ถึงขั้นข้นเหนียวแบบครีม มีส่วนประกอบของน้ำมัน จึงสามารถทำความสะอาดครีมรองพื้นได้ดี เหมาะสำหรับผิวผสมและผิวแพ้ง่าย

คลีนซิ่งบาล์ม 

ลักษณะเป็นเนื้อเชอร์เบท ข้นเหมือนครีมแต่หนืดกว่า เมื่อโดนน้ำจะเปลี่ยนเป็นน้ำนม มีคุณสมบัติทั้งช่วยทำความสะอาดเครื่องสำอาง และบำรุงผิวหน้า โดยไม่ก่อให้เกิดความระคายผิว เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว

คลีนซิ่งครีม 

ลักษณะเป็นเนื้อครีม เหมาะกับผิวแห้วและผิวธรรมดา แต่ไม่เหมาะกับคนที่มีผิวมัน ใช้แล้วไม่เหนียวหน้า อ่อนโยน แต่ไม่นิยมในประเทศไทย 

วิธีเลือกใช้คลีนซิ่งให้เหมาะกับสภาพผิว

แม้โทนเนอร์กับคลีนซิ่งจะต่างกันยังไงก็ตาม แต่การเลือกใช้คลีนซิ่งเองก็ควรพิจารณาจากสภาพผิวหน้าเช่นเดียวกันกับการใช้โทนเนอร์ ดังนี้

ผิวแห้ง 

ควรใช้คลีนซิ่งวอเตอร์ คลีนซิ่งน้ำมัน คลีนซิ่งออยล์ หรือคลีนซิ่งครีม เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า เพราะเมื่อผิวขาดความชุ่มชื้นจะส่งผลให้ผิวแห้ง ลอกเป็นขุย และหมองคล้ำ  แต่ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้คลีนซิ่งน้ำที่ทำให้ผิวแห้งมากขึ้น ซึ่งสำหรับคนที่ไม่แน่ใจว่าควรเลือกคลีนซิ่งแบบไหน แนะนำ Hydrabio H2O  คลีนซิ่งไมเซล่าวอเตอร์จากไบโอเดอร์มา ซึ่งเป็นสูตรที่เหมาะกับคนผิวแห้ง เพราะมีไนอะซินาไมด์ (Niacinamide)  ไซลิทอล (Xylitol) และ สารสกัดจากเมล็ดแอปเปิล (Apple extract) ช่วยคงความชุ่มชื้นให้ผิว และทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึก

ผิวมัน 

เหมาะกับคลีนซิ่งแบบน้ำที่คุณสมบัติช่วยกำจัดน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้า แต่ควรหลีกเลี่ยงคลีนซิ่งที่ส่วนผสมของน้ำมันเพราะจะทำให้ผิวมัน และเกิดสิวได้ง่ายขึ้น

ผิวผสม 

เหมาะกับคลีนซิ่งแบบน้ำ หรือคลีนซิ่งแบบน้ำนม ที่มีความอ่อนโยน และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า แต่ควรหลีกเลี่ยงคลีนซิ่งที่มีส่วนน้ำมันเช่นกัน เพราะทำให้ผิวหน้ามันและเกิดสิวได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะช่วงบริเวณ T- Zone

ผิวเป็นสิวง่าย 

ควรเลือกใช้คลีนซิ่งที่มีคุณสมบัติทำความสะอาดอย่างล้ำลึก และขจัดความมันบนผิวหน้า อย่าง Sébium H2O  คลีนซิ่งไมเซล่า วอเตอร์ที่เหมาะกับคนที่มีผิวมัน เพราะมีส่วนผสมของ Copper Zinc Complex  ที่ช่วยกำจัดความมันส่วนเกิน ควบคุมความมันบนใบหน้า ลดการสะสมแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว และฝุ่น PM2.5 ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดสิว

ผิวแพ้ง่าย 

ควรเลือกใช้คลีนซิ่งที่ระบุว่าเหมาะกับคนที่ผิวบอบบางแพ้ง่ายโดยเฉพาะ เพื่อลดโอกาสเกิดการระคายผิว เนื่องจากผิวมีความบอบบาง หากเกิดการอุดตันทำให้เกิดการอักเสบ และเป็นสิวได้ง่ายกว่าสภาพผิวแบบอื่น สำหรับผลิตภัณฑ์คลีนซิ่งที่แนะนำคือ Sensibio H2O คลีนซิ่งไมเซล่า วอเตอร์ (Micellar Water) ที่มี pH 5.5 ใกล้เคียงกับผิว จึงไม่ทำลายสมดุลของผิว และไม่ก่อให้เกิดการระคายผิว

ขั้นตอนการใช้คลีนซิ่ง

เชื่อว่าต้องมีหลายคนสงสัยว่าระหว่างโทนเนอร์กับคลีนซิ่งใช้อะไรก่อน ซึ่งคำตอบคือ ควรใช้คลีนซิ่งก่อน โดยมีลำดับขั้นตอนดังต่อไปนี้

  • ขั้นแรกให้ทำความสะอาดมือเพื่อลดการสะสมแบคทีเรีย และสิ่งสกปรก
  • หากมีการใช้เครื่องสำอางบริเวณรอบดวงตาควรใช้อายรีมูฟเวอร์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเฉพาะจุด เพื่อลบคราบเครื่องสำอาง
  • กรณีใช้คลีนซิ่งที่มีลักษณะเป็นของเหลวให้เทคลีนซิ่งลงบนสำลีสำหรับเช็ดหน้า แต่กรณีเป็นคลีนซิ่งที่เป็นเนื้อบาล์ม ให้ใช้ไม้พายตักมานวดที่ผิวหน้า ส่วนคลีนซิ่งแผ่นเช็ดให้ใช้ทำความสะอาดหน้าได้เลย แต่ทั้งนี้ห้ามถูแรงเพราะอาจจะเกิดการระคายผิวได้
  • หลังจากเช็ดหน้าด้วยคลีนซิ่งเรียบร้อยแล้ว ให้ล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์ตามปกติ แล้วตามด้วยการเช็ดหน้าด้วยโทนเนอร์ภายใน 3 นาที

การใช้คลีนซิ่งที่ถูกต้อง

ถึงขั้นตอนการเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าด้วยคลีนซิ่งจะมีเพียงไม่กี่ขั้นตอนแต่ควรทำอย่างถูกต้อง เพื่อประสิทธิภาพในการทำความสะอาด และลดการระคายผิว แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเคล็ดลับเล็กน้อยเพื่อบำรุงผิวหน้า ดังนี้ 

  • ควรใช้สำลีในปริมาณน้อย เพราะสำลีเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดการระคายผิว การใช้สำลีปริมาณมากๆ จะทำให้เกิดการเสียดสี นอกจากนั้นควรใช้สำลีสำหรับเช็ดหน้าโดยเฉพาะ
  • ควรใช้ผลิตภัณฑ์เติมความชุ่มชื้นควบคู่ด้วย เนื่องจากการใช้คลีนซิ่ง จะทำให้ผิวแห้งและลอกเป็นขุยได้ จึงจำเป็นต้องเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วยครีมบำรุง

ประโยชน์ของคลีนซิ่งคืออะไร

จะเห็นได้ว่าคลีนซิ่งนั้นมีความสำคัญมากในการทำความสะอาดผิวหน้า ซึ่งไม่เฉพาะกับคนที่แต่งหน้าเป็นประจำเท่านั้น แต่คนที่เป็นสิวง่าย ผิวแพ้ง่ายก็ควรเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าก่อนล้างด้วยคลีนเซอร์ 

  • ช่วยทำความสะอาดเครื่องสำอางได้อย่างหมดจดมากขึ้น
  • ลดการอุดตันของสารเคมีจากเครื่องสำอาง สิ่งสกปรก ฝุ่นละออง แบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว
  • ช่วยกำจัดช่วยผลัดเซลล์ผิวลดการอักเสบของผิว
  • มีส่วนผสมช่วยบำรุงผิวให้สุขภาพแข็งแรงมากขึ้น 

สรุปแล้ว โทนเนอร์กับคลีนซิ่งต่างกันยังไง

จากที่กล่าวไปทั้งหมด ความแตกต่างระหว่างคลีนซิ่งกับโทนเนอร์ หลายคนคงรู้แล้วว่าคลีนซิ่งกับโทนเนอร์ต่างกันอย่างไร เพราะถึงจะเป็นผลิตภัณฑ์เช็ดทำความสะอาดผิวเหมือนกัน แต่คลีนซิ่งใช้ทำความสะอาดผิวก่อนการล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์ เพื่อกำจัดคราบเครื่องสำอาง ฝุ่นละออง สิ่งสกปรก และแบคทีเรีย ส่วนโทนเนอร์เป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหลังจากการล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์ รวมทั้งเปิดผิวให้พร้อมสำหรับรับครีมบำรุงผิวมากขึ้น

สรุป

ไม่ว่าโทนเนอร์กับคลีนซิ่งต่างกันยังไง หรือเหมือนกันในเรื่องไหน  จากประโยชน์ต้องยอมรับว่าคลีนซิ่ง และโทนเนอร์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะช่วยทั้งทำความสะอาด และบำรุงผิวไปพร้อมๆ กัน แต่ทั้งนี้แนะนำว่าควรเลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิวและใช้อย่างถูกวิธี เพราะนอกจากจะช่วยให้ผิวสะอาดหมดจด ลดการเกิดสิวแล้ว ยังช่วยผิวแข็งแรงขึ้นอีกด้วย

Hydrabio H2O

คลีนซิ่งเวชสำอาง ไมเซล่า วอเตอร์ สำหรับทำความสะอาดผิว ให้ความชุ่มชื้น โดยไม่ทำลายสมดุลของผิว

ทุกสภาพผิว

Sébium H2O

ไมเซล่า วอเตอร์ทำความสะอาดสูตรดั้งเดิม ทำความสะอาดและไม่ทำลายสมดุลของผิว

ผิวเป็นสิวง่าย ผิวผสม ถึงผิวมัน