หลายท่านคงเคยได้ยินเรื่องการรักษาผิวด้วยเลเซอร์ และคงมีคำถามในใจว่าเลเซอร์มีส่วนช่วยในการรักษาผิวได้อย่างไร และหลังการรับการรักษาแล้วควรดูแลผิวอย่างไร

 

ประเภทของเลเซอร์ที่มักใช้รักษาผิวพรรณ โดยทั่วไปแบ่งกว้างๆได้เป็นสามประเภท คือ

1. Toning Laser หรือเลเซอร์จำพวก Yak, Q Switch Laser เน้นการดูแลเม็ดสี และความกระจ่างของผิวหน้า เลเซอร์จำพวกนี้จะมีความยาวคลื่นที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับร่องรอยของโรคและการวินิจฉัยของแพทย์

 

2. Resurfacing Laser คือเลเซอร์ที่มีคุณสมบัติในการผลัดผิวชั้นตื้น เช่น กลุ่ม Fraxel, Erbium หรือ CO2 เลเซอร์ประเภทนี้นอกจากใช้ในการรักษาผิวหน้าแล้วยังใช้กับการลบรอยสัก และกำจัดไฝ อีกด้วย หลังรับการรักษาด้วยเลเซอร์นี้ ผิวชั้นบนจะถูกทำลายไป ดังนั้นจะมีอาการแดงและแสบ ง่ายต่อการแพ้ อักเสบ จึงต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

 

3. Firmimg Laser เลเซอร์ชนิดนี้ใช้คลื่นเสียงเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการกระชับตัวของชั้นผิว มักใช้เพื่อรักษาความหย่อนคล้อยของผิวหนัง เช่น HIFU, Ulthera หรือ Thermarge ซึ่งการใช้เลเซอร์ชนิดนี้อาจทำให้เกิดอาการแดงและแสบได้เช่นเดียวกัน

 

แผลที่เกิดจากเลเซอร์

แผลที่เกิดจากการเลเซอร์นั้นอาจแบ่งให้เห็นง่ายๆ ได้ 2 ชนิด คือ แผลแบบปิด ซึ่งมีแค่อาการแดง บวม และคัน และอีกชนิดคือ แผลแบบเปิด ซึ่งอาจเป็นการถลอกและลอกของผิวด้านบน หรือมีแผลแบบเปิดลึก เช่นการจี้ไฝ และแผลจากการใช้เลเซอร์ในการผ่าตัด

โดยแผลจากการรักษาผิวหน้าด้วยทรีทเมนต์ต่างๆ อาจมีลักษณะแตกต่างกันไปตามแต่การรักษาเฉพาะบุคคล ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นแผลลักษณะใด เราต้องดูแลและรักษาเป็นพิเศษเพื่อให้ไม่เกิดแผลเป็นบนผิวหนัง

 

ดังนั้น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้ถูกกับลักษณะแผลนั้นมีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้การดูแลและรักษามีประสิทธิภาพ โดยแผลแบบปิดและแห้ง (Non Oozing) เราควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่คุณสมบัติ ลดการบวมน้ำ สามารถลดความเจ็บปวดได้ ลดอาการแพ้คัน และลดการอักเสบของผิวหนังได้ ส่วนแผลที่มีของเหลวไหลซึม (Oozing) เราควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติ ช่วยทำให้แผลแห้ง ลดการระคายเคืองและการติดเชื้อซ้ำซ้อนได้ ที่สำคัญคือพยายามอย่ารบกวนกระบวนการฟื้นฟูของผิวหนังด้วยการแกะหรือเกาแผล เพื่อให้ผิวหนังฟื้นตัวเร็วและไม่ให้เกิดรอยแผลเป็น

 

นพ.วริศ พิสิฏฐนรสีห์

แพทย์ด้านความงามและเวชศาสตร์ชะลอวัย