ค้นหา

5 ผลิตภัณฑ์

ประเภทผลิตภัฑ์
Usage
ปัญหาผิว
ประเภทผลิตภัณฑ์
ประเภทผิว
SPF
ผลิตภัณฑ์แนะนำสำหรับคุณ
Main target
New Tag

5 ผลิตภัณฑ์

การได้สัมผัสแสงแดดให้ความรู้สึกที่ดีและมีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างไรก็ตาม แสงแดดยังมีรังสียูวีที่อาจทำร้ายผิวได้ คุณจึงจำเป็นต้องเลือกครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพ มีค่าการปกป้องที่เหมาะสมกับสภาพผิว เช่น ผิวเป็นสิวง่าย หรือผิวที่ไวต่อแสงแดด เป็นต้น ซึ่งผลิตภัณฑ์กลุ่มป้องกันแสงแดดโฟโตเดิร์ม (Photoderm) จาก BIODERMA ออกแบบมาให้ใช้ได้กับทุกสภาพผิวของทุกคนในครอบครัว ทำให้เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการของผิวแต่ละประเภท รวมถึงผิวแพ้-ระคายง่าย เสริมด้วยการปกป้องผิวจากภายในด้วยสิทธิบัตรเฉพาะ SUN ACTIVE DEFENSE™
 

ครีมกันแดด คืออะไร?

 

ครีมกันแดด คืออะไร?

ครีมกันแดด (Sunscreen) คือ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการบำรุงผิว และมีส่วนช่วยสำคัญในการปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลต หรือรังสียูวี (Utraviolet Radiation: UV) ซึ่งเป็นรังสีจากดวงอาทิตย์ที่ส่งผลเสียต่อผิวหนังมากมาย เช่น การเกิดผิวไหม้ ผิวหมองคล้ำ จุดด่างดำต่างๆ รวมถึงความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง 

การทาครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความใส่ใจอย่างสม่ำเสมอ เพราะในตัวกันแดดมีการพัฒนาส่วนผสมต่างๆ ที่สำคัญ เพื่อช่วยปกป้องผิวจากอันตรายของรังสียูวี พร้อมด้วยเทคโนโลยี หรือกลไกการออกฤทธิ์ของส่วนผสม ไม่ว่าจะเป็นการดูดซับรังสียูวี การช่วยปกป้องผิวชั้นลึก หรือการสะท้อนรังสียูวีกลับออกไป เป็นต้น 

นอกจากนี้ ครีมกันแดดก็มีหลากหลายรูปแบบให้เลือกตามความเหมาะสมของสภาพผิวที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละบุคคล เช่น รูปแบบน้ำ น้ำนม โลชั่น ครีม และแบบสเปรย์ เป็นต้น
 

ทำไมต้องใช้ครีมกันแดด

 

ทำไมต้องใช้ครีมกันแดด

การใช้ครีมกันแดดสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากรังสียูวีจากดวงอาทิตย์ที่เป็นอันตรายต่อผิวหนังไม่ได้มีเพียงชนิดเดียว แต่มีมากถึง 3 ชนิด ได้แก่ รังสี UVA-I  รังสี UVA-II และรังสี UVB โดยรังสียูวีแต่ละชนิดก็ส่งผลอันตรายต่อผิวหนังแตกต่างกัน โดยรังสี UVA I และ UVA II สามารถส่องทะลุผ่านชั้นผิวหนังแท้ได้ ทำให้เกิดการทำลายคอลลาเจน และความชุ่มชื้นในชั้นผิวหนัง เป็นสาเหตุหลักของปัญหาผิวหนังเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย กระแดด รวมถึงกระตุ้นโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง 

ในขณะเดียวกัน รังสี UVB เป็นรังสีจากดวงอาทิตย์ที่สามารถทะลุผ่านเข้าสู่ชั้นผิวหนังกำพร้าได้เพียงอย่างเดียว ซึ่งส่งผลให้เกิดเป็นปัญหาฝ้าแดด ผิวหมองคล้ำ และปัญหาผิวไหม้ดำจากแดดได้ ดังนั้น ครีมกันแดดที่ดีจึงควรปกป้องผิวได้จากทั้งรังสี UVA-I รังสี UVA-II และรังสี UVB เพื่อให้การปกป้องผิวจากรังสียูวีที่อันตรายสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 

3 ประเภทของครีมกันแดด

 

3 ประเภทของครีมกันแดด

ครีมกันแดดในปัจจุบัน สามารถแบ่งได้ 3 ประเภทหลักๆ ตามคุณสมบัติของการป้องกันรังสียูวี ดังนี้
 

Chemical Sunscreen

กันแดดแบบเคมี หรือ Chemical Sunscreen เป็นครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่ใช้ในการป้องกันรังสียูวีจากดวงอาทิตย์ โดยมีกลไกในการดูดซับรังสียูวีเข้าสู่ผิวหนังและเปลี่ยนเป็นความร้อน เพื่อป้องกันไม่ให้รังสีผ่านเข้าสู่ผิวหนังชั้นลึกได้ 

ซึ่งกันแดดแบบเคมีมักมีส่วนประกอบหลัก ได้แก่ Panimate O, Bensophenone, Cinnamates, Antranilate, Homosalate และ Oxybenzene ทำให้กันแดดจะมีลักษณะเป็นเนื้อครีมข้นๆ หรือเป็นน้ำนมที่สามารถซึมซับได้ง่าย เหมาะกับผิวธรรมดาไปจนถึงผิวมัน 

อย่างไรก็ตาม กันแดดเคมีบางตัวสามารถดูดซับได้เฉพาะรังสี UVA, UVB, หรือสามารถดูดซับได้ทั้งสอง แต่เมื่อโดนแสงแดดไปสักพัก สารเคมีที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีเหล่านี้จะเกิดการเสื่อมสภาพ ทำให้จำเป็นต้องมีการทากันแดดซ้ำทุกๆ 2-3 ชั่วโมง
 

Physical Sunscreen

กันแดดแบบกายภาพ หรือ Physical Sunscreen เป็นครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารที่ใช้ในการป้องกันรังสียูวีจากดวงอาทิตย์เช่นเดียวกันกับกันแดดแบบเคมี แต่กลไกการป้องกันแสงแดดของกันแดดแบบกายภาพ จะเป็นการสะท้อนรังสี UVA และรังสี UVB ออกไปจากผิวหนัง เหมือนกระจกสะท้อน 

ซึ่งกันแดดแบบกายภาพจะมีส่วนประกอบหลักที่น้อยกว่าแบบเคมี ได้แก่ Titanium Dioxide และ Zinc Oxide อีกทั้งยังมีลักษณะของเนื้อครีมที่ไม่ละเอียดมากนัก ทำให้ดูดซึมและล้างออกได้ยากกว่าเล็กน้อย  แต่มีข้อดีคือมีสารเคมีที่อาจเสี่ยงต่อการระคายผิวน้อยกว่า จึงเหมาะกับทุกสภาพผิว รวมถึงผิวบอบบาง และผิวแพ้ง่าย
 

Hybrid Sunscreen

ครีมกันแดดแบบผสม หรือ Hybrid Sunscreen เป็นครีมกันแดดที่มีส่วนผสมที่สำคัญอย่าง Bis-benzotriazolyl Tetramethylbutylphenol หรือ Tinosorb M ที่มีกลไกการป้องกันแสงแดดทั้งแบบการดูดซับ และแบบสะท้อนรังสีของดวงอาทิตย์ออกไปจากผิวหนัง 

ซึ่งถือเป็นการนำเอาข้อดีและข้อด้อยมาพัฒนาให้เป็นกันแดดที่มีความโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นการลดความเสี่ยงต่อการระคายผิวจากสารเคมี ลดความขาววอก และเพิ่มประสิทธิภาพในการปกป้องแสงแดด จึงเป็นอีกหนึ่งกันแดดทางเลือกที่เหมาะกับทุกสภาพผิว รวมถึงผิวบอบบาง และผิวแพ้ง่าย
 

ค่าการป้องกันผิวจากรังสี UV ในครีมกันแดด

การเลือกครีมกันแดด นอกจากการเลือกประเภทของครีมกันแดด และส่วนผสมที่เหมาะกับสภาพผิวแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญ คือ ค่าการป้องกันผิวจากรังสี UV ในครีมกันแดด โดยสามารถแยกเป็นมาตรฐานในการใช้วัดค่าป้องกันรังสี UVA และรังสี UVB ดังนี้
 

มาตรฐานในการใช้วัดค่าป้องกันรังสี UVA

ปัจจุบันมาตรฐานในการใช้วัดค่าป้องกันรังสี UVA ยังไม่ได้มีหน่วยวัดที่กำหนดมาตรฐานอย่างเป็นสากล แต่มีหน่วยวัดที่สามารถพบเห็นได้โดยทั่วไปอยู่ 2 หน่วยวัด คือ PPD และ PA (+)
 

PPD

PPD หรือ Persistent Pigment Darkening เป็นมาตรฐานที่ใช้บ่งบอกว่าครีมกันแดดตัวนั้นๆ สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้มากเท่าไร โดยค่า PPD มักอยู่ในผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่ผลิตและจัดจำหน่ายในทวีปยุโรปเป็นหลัก โดยค่า PPD ที่เหมาะสมควรเลือกที่ PPD 10 ขึ้นไป
 

PA (+)

PA (+) หรือ Protection Grade of UVA เป็นมาตรฐานค่าป้องกันรังสี UVA ของทางสมาคมอุตสาหกรรมและเครื่องสำอางประเทศญี่ปุ่น โดยมีการเริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2006 ซึ่งมีหน่วยวัด PA (+) ที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

  • PA+ คือ มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA ในระดับเริ่มต้น
  • PA++ คือ มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA ในระดับกลาง
  • PA+++ คือ มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA ในระดับสูง
  • PA++++ คือ มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA ในระดับสูงสุด

สำหรับแดดเมืองไทย ค่า PA (+) ที่เหมาะสมควรเลือกเป็น PA+++ หรือ PA++++
 

มาตรฐานในการใช้วัดค่าป้องกันรังสี UVB
 

มาตรฐานในการใช้วัดค่าป้องกันรังสี UV

 

สำหรับมาตรฐานที่ใช้ในการวัดค่าป้องกันรังสี UVB ทั่วโลก เรียกว่า SPF หรือ Sun Protection Factor โดยตัวเลขที่บ่งบอกค่าป้องกันรังสี UVB จะเป็นค่าที่ประเมินว่าครีมกันแดดนั้นๆ สามารถป้องกันรังสี UVB ได้มากกว่าปกติกี่เท่า โดยในประเทศไทยอนุญาตให้เคลมค่า SPF ตั้งแต่ 15 ไปจนถึง SPF 50 หากมากกว่า 50 บนผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดมักกำกับเอาไว้เป็น SPF 50+
 

อย่างไรก็ตาม การวัดค่า SPF ว่าครีมกันแดดสามารถป้องกันรังสี UVB ได้กี่เท่า เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินเท่านั้น เนื่องจากการปกป้องผิวจากแสงแดด อาจขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย เช่น สภาพอากาศ ระยะเวลาในการออกแดด หรือช่วงเวลาที่สัมผัสกับแสงแดด รวมถึงการสัมผัส การเสียดสี น้ำ และเหงื่อไคล เป็นต้น
 

ยกตัวอย่าง

ค่า SPF 30 สามารถป้องกันรังสี UVB ได้มากกว่าปกติ 30 เท่า หากเดินออกแดด 15 นาที ผิวจะเกิดการแสบหรือแดง การทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 ก็จะช่วยให้อยู่กลางแดดได้นานขึ้น 30 เท่า (15 X 30 = 450) หรือราวๆ ประมาณ 7 ชั่วโมง หากเกิน 7 ชั่วโมง ต้องทาครีมกันแดดซ้ำ
 

วิธีเลือกใช้ครีมกันแดดยังไงให้มีประสิทธิภาพ

 

วิธีเลือกใช้ครีมกันแดดยังไงให้มีประสิทธิภาพ

การเลือกใช้ครีมกันแดดให้เหมาะสมกับสภาพผิวเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพื่อให้ครีมกันแดดสามารถป้องกันรังสียูวีจากแสงอาทิตย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ก่อให้เกิดอาการระคายผิวสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง และผิวแพ้ง่าย โดยวิธีเลือกใช้ครีมกันแดดให้เหมาะสม ควรเลือกดังนี้
 

เลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 หรือมากกว่านั้น

การเลือกครีมกันแดดสำหรับผิวธรรมดา หรือการเลือกกันแดดสำหรับคนเป็นสิว ผิวแพ้ง่าย สิ่งที่ควรคำนึงถึงเป็นอันดับแรกๆ คือค่า SPF หรือค่าป้องกันรังสี UVB ที่ส่งผลต่อผิวหนังชั้นกำพร้าให้เกิดความหมองคล้ำ ฝ้าแดด ผิวไหม้แดด และการระคายผิวหนัง 

โดยทั่วไปแล้วค่า SPF ที่เหมาะสมกับแดดเมืองไทยควรเริ่มต้นอยู่ที่ SPF 50 หรือมากกว่านั้น เพื่อเป็นการเสริมการป้องกันรังสี UVB ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และที่สำคัญคือ ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่าการป้องกันรังสี UVA หรือค่า PA (+) ควบคู่ไปด้วย 

เนื่องจากรังสี UVA สามารถส่งผลเสียต่อผิวหนังชั้นลึก ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย และเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งผิวหนังได้
 

เลือกครีมกันแดดที่ป้องกันได้ครอบคลุม

การเลือกครีมกันแดดที่ดี ควรเลือกกันแดดที่สามารถป้องกันได้ครอบคลุมทั้งรังสี UVA และรังสี UVB เพราะหากขาดการป้องกันอย่างใดอย่างหนึ่งไป อาจส่งผลอันตรายต่อผิวหนังของคุณในระยะยาวได้ โดยข้อสังเกตของครีมกันแดดที่สามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และรังสี UVB จะมีการระบุไว้บนฉลากผลิตภัณฑ์ว่า “Broad Spectrum” 

ซึ่งไม่ว่าจะเป็นครีมกันแดดแบบเคมี แบบกายภาพ หรือแบบผสม คุณสามารถเลือกได้ตามความต้องการ แต่ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าครีมกันแดดที่คุณเลือกมีคุณสมบัติที่ป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB เพื่อช่วยเสริมการปกป้องผิวจากแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
 

เลือกครีมกันแดดที่กันน้ำได้ 

การเลือกกันแดดที่กันน้ำได้ เป็นทางเลือกที่ดี เพราะจะช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดได้แม้ผิวจะเปียกน้ำ หรือเปียกเหงื่อ อีกทั้งยังไม่ทำให้เนื้อครีมกันแดดไหลเยิ้ม หรือหลุดลอกออกได้ง่ายเมื่อสัมผัสกับน้ำ โดยกันแดดที่มีคุณสมบัติกันน้ำได้จะมีให้เลือก ดังนี้

  • Water Resistant (40 minutes) คือ กันแดดที่สามารถกันน้ำได้นาน 40 นาที
  • Waterproof (80 minutes) คือ กันแดดที่สามารถกันน้ำได้นาน 80 นาที
     

เลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับสภาพผิว

สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามในการเลือกครีมกันแดด คือการเลือกครีมกันแดดให้เหมาะสมกับสภาพผิว เพื่อให้การใช้ครีมกันแดดมีประสิทธิภาพสูงสุด และลดความเสี่ยงของผิวระคายง่าย หรือผิวอุดตัน 

เนื่องจากผิวของแต่ละคนมีความแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นผิวธรรมดา ผิวมัน ผิวแห้งระคาย หรือผิวเป็นสิว โดยสามารถเลือกครีมกันแดดให้เหมาะสมกับสภาพผิวได้ง่ายๆ ดังนี้
 

ผิวมัน 

ผิวมัน เป็นผิวที่มีกลไกของการผลิตซีบัมที่มากเกินไปจนทำให้ผิวหน้ามีความมันเยิ้ม รูขุมขนกว้าง ทำให้เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดสิวได้ การเลือกกันแดดสำหรับผิวมัน หรือกันแดดสําหรับคนเป็นสิวผิวมันจึงควรเป็นกันแดดสูตรน้ำที่มีเนื้อบางเบา และมีส่วนผสมที่ช่วยควบคุมความมันของผิวอย่าง Photoderm COVER Touch MINERAL SPF 50+ light และ Photoderm Cover Touch Mineral SPF50+ Very Light กันแดดสีเนื้อสูตรมิเนอรัล 100% 

สำหรับคนเอเชีย ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี SUN ACTIVE DEFENSE ช่วยปกป้องรังสี UVA และ UVB ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติป้องกันแสงสีฟ้าที่มองเห็นได้ด้วย iron oxides นอกจากนี้ ยังเหมาะมากกับคนผิวมัน เพราะมีส่วนผสมที่เป็นสิทธิบัตร Fluidactiv™ ช่วยปรับคุณภาพของไขมันจากต่อมใต้ผิวหนัง (sebum) และลดการเกิดปัญหาผิวไม่สมบูรณ์ใหม่ๆ 

พร้อมช่วยปกป้องผิวและควบคุมความมันยาวนานสูงสุด 8 ชั่วโมง เนื้อกันแดดบางเบา ไม่แต่งกลิ่นหอม อ่อนโยนต่อผิวหนังและรอบดวงตา ไม่ก่อให้เกิดสิว ปราศจากน้ำมัน ทนน้ำ ความร้อน และทนต่อความชื้นสูง 

หากต้องการกันแดดไม่มีสีสำหรับผิวมัน เลือกใช้ Photoderm AKN Mat SPF30 ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันรังสี UVA และ UVB ด้วยเทคโนโลยี SUN ACTIVE DEFENSE เช่นเดียวกัน แต่มาพร้อมกับเนื้อสัมผัสแบบเหลวใสไม่มีสี ไม่เหนียวเหนอะหนะ  ไม่มัน ไม่ทำให้ผิวแห้ง เหมาะสำหรับการใช้ก่อนแต่งหน้าได้เป็นอย่างดี
 

ผิวแห้ง ผิวระคาย แพ้ง่าย

ผิวแห้ง ผิวระคาย แพ้ง่าย เป็นผิวที่มีปัญหาผิวลอก ผิวแห้ง เป็นขุย หยาบกร้าน และแห้งตึง ซึ่งเป็นสาเหตุของผิวระคาย และผิวแก่ก่อนวัยได้ การเลือกกันแดดสำหรับผิวแห้งจึงต้องเลือกสูตรที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว บางเบา และมีส่วนผสมที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายผิว

อย่าง Photoderm Aquafluide SPF 50+ (Invisible) และ Photoderm Aquafluide SPF50+ (Light color) ที่เป็นครีมกันแดดน้ำนมสูตรใหม่ของ BIODERMA ที่มีตัวกรองแสงแดด (filter) เพียง 4 ตัวเท่านั้น แต่ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง SUN ACTIVE DEFENSE ทำให้ช่วยเสริมการปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยควบคุมความมันและให้ความชุ่มชื้นยาวนานสูงสุด 8 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังมีเนื้อสัมผัสที่บางเบาเป็นพิเศษ ใช้แล้วไม่ทิ้งคราบขาว ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่มัน 

เหมาะสำหรับใช้เป็นเมกอัพเบสที่ดีเยี่ยม ไม่แต่งกลิ่นหอม อ่อนโยนต่อผิวหนังและรอบดวงตา ไม่ก่อให้เกิดสิวอุดตัน ทนน้ำ ความร้อน และทนต่อความชื้นสูง
 

ผิวธรรมดา

ผิวธรรมดา เป็นผิวที่มีความสมดุล แข็งแรง เรียบเนียน และมีปัญหาผิวน้อยที่สุด ทำให้ผิวธรรมดาสามารถเลือกใช้ครีมกันแดดได้ตามความต้องการ แต่กันแดดสำหรับผิวธรรมดาควรมีส่วนผสมที่ไม่ซับซ้อน สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB ได้อย่างครอบคลุม มีเนื้อบางเบา มีคุณสมบัติควบคุมความมัน ทนน้ำ และให้ความชุ่มชื้นยาวนานตลอดวัน

อย่าง Photoderm Aquafluide SPF 50+ (Invisible) และ Photoderm Aquafluide SPF50+ (Light color) ที่สามารถใช้เป็นเมกอัพเบส หรือจะใช้ในวันธรรมดาสบายๆ เพราะมีเนื้อสัมผัสที่บางเบาเป็นพิเศษ ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย และเหมาะกับทุกสภาพผิว
 

ผิวเป็นสิวง่าย

ผิวเป็นสิวง่าย อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นผิวมันมากเกินไป และมีการอุดตันของรูขุมขน หรืออาจเกิดจากผิวแห้งจนทำให้ผิวมีกลไกผลิตน้ำมันออกมาทดแทน ปัญหาเหล่านี้ส่งผลให้ผิวเสียสมดุล ปราการผิวอ่อนแอ เสี่ยงต่อการระคายผิวและเกิดสิวได้ง่าย กันแดดสําหรับคนเป็นสิวผิวแพ้ง่ายจึงควรมีคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื้อสัมผัสบางเบา ไม่แต่งกลิ่นหรือสี ไม่อุดตันผิว 

อย่างกันแดดคนเป็นสิว Photoderm AKN Mat SPF30 หรือหากอยากได้การปกปิด เพื่อผิวสวยแลดูเรียบเนียน สามารถเลือกเป็น  Photoderm COVER Touch MINERAL SPF 50+ light หรือ Photoderm Cover Touch Mineral SPF50+ Very Light ที่เป็นกันแดดสีเนื้อสูตรน้ำ 100% ที่มีคุณสมบัติช่วยปรับผิวให้ดูเรียบเนียนขึ้น ผิวแมตต์คุมมันยาวนานสูงสุด 8 ชั่วโมง และไม่มีสารก่อให้เกิดสิว (non comedogenic, non acnegenic)
 

สรุป

ครีมกันแดด เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB จากดวงอาทิตย์ อีกทั้งในกันแดดบางชนิดยังช่วยปกป้องแสงสีฟ้าที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอีกด้วย เพราะปัจจุบันมีหลายคนที่ทำงานอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ตโฟนเป็นประจำ 

ซึ่งแสงสีฟ้ามีส่วนทำให้เกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำได้เหมือนกับรังสี UVA และ UVB ทำให้การทาครีมกันแดดมีความสำคัญมาก ไม่ว่าจะออกแดดหรืออยู่ในร่ม ก็ควรหมั่นทาครีมกันแดดอย่างเป็นประจำ โดยการเลือกครีมกันแดด ควรเลือกค่าป้องกันรังสี UVA และ UVB ที่เหมาะสม 

เลือกกันแดดที่มีคุณสมบัติในการปกป้องผิวอย่างครอบคลุม และเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวที่แตกต่างกัน เพื่อลดความเสี่ยงในการระคายผิว และเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด